๑๐๑    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๑๐๓
         พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้น  ทรงแสดงกลิ่นดิบ  ๙  อย่าง  ด้วยเทศนาที่เป็น
ธรรมาธิษฐานอย่างนี้แล้ว     เมื่อจะทรงวิสัชนากลิ่นดิบด้วยเทศนาที่เป็นบุคลา-
ธิษฐานที่นัยตามที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในตอนต้นนั้นแลแม้อีก     จึงได้ทรงภาษิต
๓  พระคาถา.
         บรรดาบทเหล่านั้น    สองบทว่า  เย  ปาปสีลา  ความว่า ชนเหล่าใด
ปรากฏในโลกว่ามีปกติประพฤติชั่ว  เพราะเป็นผู้มีความประพฤติชั่ว.
         การยืมหนี้แล้วฆ่าเจ้าหนี้เสียเพราะไม่ใช้หนี้นั้น    และการพูดเสียดแทง
เพราะคำส่อเสียด  ตามนัยที่กล่าวไว้ในวสลสูตร  ชื่อว่า อิณฆาตสูจกา  ผู้ฆ่า
เจ้าหนี้และพูดเสียดแทงเจ้าหนี้.
         บาทคาถาว่า   โวหารกูฏา  อิธ  ปาฏิรูปิกา  ความว่า  ชนทั้งหลาย
ดำรงอยู่แล้ว   ในฐานะที่ตั้งอยู่ในธรรม (เป็นผู้ตัดสินความ) รับค่าจ้างแล้ว  ทำ
เจ้าของให้พ่ายแพ้   ชื่อว่าผู้พูดโกง    เพราะประกอบด้วยโวหารที่โกง    ชื่อว่า
ปาฏิรูปิกา   คนผู้หลอกลวง   เพราะเอาเปรียบผู้ตั้งอยู่ในธรรม.
         อีกประการหนึ่ง  บทว่า อิธ   ได้แก่ ในศาสนา.
         บทว่า  ปาฏิรูปิกา  ได้แก่ พวกคนทุศีล.
         จริงอยู่.  เพราะเหตุคนทุศีลเหล่านั้น   มีการสำรวมอิริยาบถให้งดงาม
เรียบร้อย   เป็นต้น   ซึ่งจะเปรียบได้กับท่านผู้มีศีล   ฉะนั้น  จึงชื่อว่าเป็นคนผู้
หลอกลวง
         บาทคาถาว่า  นราธมา  เยธ  กโรนฺติ   กิพฺพิสํ  ความว่า ชนเหล่า
ใด เป็นคนต่ำทรามในโลกนี้  ย่อมกระทำกรรมหยาบช้า  กล่าวคือการปฏิบัติผิด
ในมารดาและบิดาทั้งหลาย  และในพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้น.
หน้า ๑๐๒