๑๑๐    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๑๑๒
         ตอบว่า    เพราะพระมุนี    ทรงประกาศด้วยคาถาทั้งหลายที่ไพเราะ
ทั้งโดยอรรถ  ทั้งโดยบท  ทั้งโดยกระแสแห่งเทศนา.
         ถามว่า  เป็นเช่นไร  ?
         ตอบว่า    บุคคลที่ไม่มีกลิ่นดิบ    ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว
ตามรู้ได้ยาก   ที่ชื่อว่าผู้ไม่มีกลิ่นดิบ  ก็เพราะไม่มีกิเลสอันเป็นกลิ่นดิบ   ที่ชื่อว่า
อสิตะ    ก็เพราะไม่มีตัณหาและทิฏฐิเข้าไปอาศัย,    ชื่อว่าเป็นผู้ตามรู้ได้ยาก
ก็เพราะใคร ๆ    ไม่อาจเพื่อจะแนะนำได้ด้วยสามารถแห่งทิฎฐิในภายนอกว่า
สิ่งนี้ประเสริฐกว่า  สิ่งนี้ประเสริฐ  ดังนี้เป็นต้น
         ก็ติสสพราหมณ์ฟังบทสุภาษิต      ได้แก่ฟังพระธรรมเทศนา     ที่ตรัส
ดีแล้ว   ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น    ผู้ทรงประกาศแล้วอย่างนี้    เป็น
ผู้มีใจนอบน้อม  ได้แก่เป็นผู้มีจิตนอบน้อม  ถวายบังคม   พระผู้พระภาคเจ้า
ผู้ไม่มีกลิ่นดิบ   คือผู้ไม่มีเครื่องข้องคือกิเลส  ผู้บรรเทาความทุกข์ทั้งปวงเสียได้
ได้แก่ผู้บรรเทาความทุกข์ในวัฏฏะทั้งปวงเสียได้     แล้ว    ถวายบังคมพระบาท
ของพระตถาคตเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์.
         บาทคาถาว่า  ตเถว  ปพฺพชฺชมโรจยิตฺถ  มีคำอธิบายว่า  ติสสดาบส
ได้ทูลขอ   คือได้ทูลอ้อนวอนขอ   ซึ่งบรรพชา   กะพระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรง
พระนามว่ากัสสปะพระองค์นั้น   ผู้ประทับนั่งบนอาสนะนั้นนั่นเอง.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า   ได้ตรัสกะติสสดาบสนั้นว่า   "เธอจงเป็นภิกษุ
มาเถิด"    ดังนี้    ดาบสนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยบริขาร  ๘    ในทันใดนั้นเอง
เป็นดุจพระเถระมีพรรษาตั้งร้อยมาทางอากาศถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
หน้า ๑๑๑