๑๑๔    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๑๑๖
ของปู่ย่า (ตายาย)  ทรัพย์นี้ตกมาถึงชั่ว  ๗  สกุล  ดังนี้.  มาณพเห็นทรัพย์แล้ว
ก็ดำริว่า    ทรัพย์นี้เท่านั้นยังปรากฏอยู่    ส่วนชนทั้งหลายผู้สั่งสมทรัพย์นี้ไว้หา
ปรากฏอยู่ไม่   (เขาเหล่านั้น)  ทั้งหมดทีเดียวได้ตกไปยังอำนาจของพระยามัจจุ-
ราช  และเมื่อไปอยู่  ก็หาได้นำอะไรจากโลกนี้ไปไม่   ทุกคนจำต้องละโภคสมบัติ
ทั้งหลายไปปรโลกกันอย่างนี้    เว้นจากสุจริตเสียแล้ว   ใคร ๆ ก็ไม่อาจนำอะไร
ติดตัวไปได้  ไฉนหนอข้าพเจ้าจะพึงบริจาคทรัพย์นี้แล้ว  ถือเอาทรัพย์คือสุจริต
ที่เราจะสามารถนำติดตัวไปได้  เขาเมื่อสละอยู่ซึ่งทรัพย์วันละแสนกหาปณะ  ก็
ดำริอีกว่า  ทรัพย์นี้ก็ยังเพียงพอ   ประโยชน์อะไรด้วยการบริจาคอันมีประมาณ
น้อยอย่างนี้   ไฉนหนอเราพึงให้มหาทาน   พราหมณ์นั้นกราบทูลแด่พระราชา
ว่า  ข้าแต่มหาราชเจ้า   ข้าพระองค์มีทรัพย์ในเรือนอยู่จำนวนเท่านี้   ข้าพระองค์
ปรารถนาจะให้มหาทานด้วยทรัพย์นั้น   ดังข้าพระองค์ขอวโรกาส     ข้าแต่มหา-
ราชเจ้า     ขอพระองค์จงรับสั่งให้ป่าวประกาศในพระนคร    พระราชารับสั่งให้
กระทำอย่างนั้น      พราหมณ์นั้นได้บรรจุภาชนะทั้งหลายของเหล่าชนผู้มาแล้ว
และมาแล้วให้เต็ม   แล้วได้บริจาคทรัพย์ทั้งสิ้นโดยเวลา ๗  วัน    ก็ครั้นบริจาค
แล้วจึงดำริว่า     การกระทำการบริจาคใหญ่อย่างนี้แล้วอยู่ครองเรือนไม่สมควร
ไฉนหนอเราพึงบวช   ต่อจากนั้นเขาจึงได้บอกเรื่องนี้แก่บริวารชน.  บริวารชน
เหล่านั้น  กล่าวว่า   ข้าแต่นาย  ท่านอย่าได้คิดว่าทรัพย์หมดสิ้นไปแล้ว     พวก
ข้าพเจ้าจะทำการสั่งสมทรัพย์    ด้วยอุบายต่าง ๆ    โดยใช้เวลาเล็กน้อยเท่านั้น
แล้วก็ขอร้องพราหมณ์นั้นโดยประการต่าง ๆ  พราหมณ์นั้นไม่สนใจการขอร้อง
ของพวกบริวารชนเหล่านั้น    ได้ออกบวชเป็นดาบส.
หน้า ๑๑๕