| ไม่การทำตามคำที่ตนพูด พูดอยู่ด้วยวาจาอย่างเดียว อย่างนี้ว่า บุคคลนี้ชื่อ |
| ว่า มีวาจาเป็นอย่างยิ่ง (ดีแต่ปาก) ไม่ใช่มิตร เป็นมิตรเทียม ดังนี้. |
| สองบาทคาถาว่า น โส มิตฺโต โย สทา อปฺปมตฺโต เภทาสงฺกี |
| รนฺธเมวานุปสฺสิ ความว่า ผู้ใดหวังแต่ความแตกร้าวเท่านั้น ไม่ประมาทอยู่ |
| ทุกเมื่อ ด้วยมารยาทที่เรียบร้อย คือด้วยวาจาไพเราะที่ตนทำขึ้น ย่อมเเสวงหา |
| ซึ่งโทษเท่านั้น อย่างนี้ว่า สิ่งใดก็ตาม ที่บุคคลการทำแล้ว ด้วยไม่มีสติ ด้วย |
| ไม่มีมนสิการ หรือว่าไม่ได้กระทำด้วยความไม่รู้ บุคคลนั้นจักติเตียนเราเมื่อใด |
| เมื่อนั้นเราจักโต้ตอบเขา ด้วยการกระทำนั้น ดังนี้ มิตรนั้นบุคคลไม่ควรคบ. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงวิสัชนาปัญหาแรกนี้ว่า "ไม่ควรคบมิตร |
| เช่นไร" ดังนี้อย่างนี้แล้ว เพื่อจะทรงวิสัชนาปัญหาที่สองจึงตรัสกิ่งพระคาถานี้ |
| ว่า ยสฺมึ จ เสติ. |
| เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ก็บุตรนอนอยู่บนอกของบิดา ไม่ |
| รังเกียจสงสัยเหตุทั้งหลายเป็นต้นว่า เมื่อเรานอนอยู่บนอกของบิดานี้ จะพึง |
| มีความทุกข์หรือความไม่สบายใจ จึงหมดความสงสัยนอนอยู่ ชื่อฉันใด ด้วย |
| การไว้ใจต่อมิตร มิตรกระทำอยู่ซึ่งความคุ้นเคย (ไว้วางใจ) ในภรรยา ทรัพย์ |
| และชีวิตเป็นต้น หมดความสงสัยโดยความเป็นมิตรนั้นอยู่ ฉันนั้นเหมือน |
| กัน ก็มิตรใด ซึ่งผู้อื่นกล่าวเหตุตั้งร้อยอย่างพันอย่างก็ไม่แตกกัน มิตรนั้นแล |
| ควรคบ. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงวิสัชนาแม้ปัญหาที่สองว่า มิตรเช่นไร |
| ควรคบ ดังนี้แล้ว เพื่อจะทรงวิสัชนาปัญหาที่ ๓ จึงตรัสพระคาถาว่า ปา- |
| มุชฺชกรณํ เป็นต้น. |