๑๒๐    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๑๒๒
ไม่การทำตามคำที่ตนพูด  พูดอยู่ด้วยวาจาอย่างเดียว  อย่างนี้ว่า    บุคคลนี้ชื่อ
ว่า   มีวาจาเป็นอย่างยิ่ง  (ดีแต่ปาก)  ไม่ใช่มิตร  เป็นมิตรเทียม  ดังนี้.
         สองบาทคาถาว่า  น  โส  มิตฺโต  โย  สทา  อปฺปมตฺโต   เภทาสงฺกี
รนฺธเมวานุปสฺสิ  ความว่า  ผู้ใดหวังแต่ความแตกร้าวเท่านั้น   ไม่ประมาทอยู่
ทุกเมื่อ  ด้วยมารยาทที่เรียบร้อย  คือด้วยวาจาไพเราะที่ตนทำขึ้น  ย่อมเเสวงหา
ซึ่งโทษเท่านั้น   อย่างนี้ว่า  สิ่งใดก็ตาม   ที่บุคคลการทำแล้ว  ด้วยไม่มีสติ ด้วย
ไม่มีมนสิการ  หรือว่าไม่ได้กระทำด้วยความไม่รู้  บุคคลนั้นจักติเตียนเราเมื่อใด
เมื่อนั้นเราจักโต้ตอบเขา  ด้วยการกระทำนั้น   ดังนี้    มิตรนั้นบุคคลไม่ควรคบ.
         พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงวิสัชนาปัญหาแรกนี้ว่า   "ไม่ควรคบมิตร
เช่นไร"  ดังนี้อย่างนี้แล้ว    เพื่อจะทรงวิสัชนาปัญหาที่สองจึงตรัสกิ่งพระคาถานี้
ว่า  ยสฺมึ  จ เสติ.
         เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า     ก็บุตรนอนอยู่บนอกของบิดา    ไม่
รังเกียจสงสัยเหตุทั้งหลายเป็นต้นว่า   เมื่อเรานอนอยู่บนอกของบิดานี้    จะพึง
มีความทุกข์หรือความไม่สบายใจ   จึงหมดความสงสัยนอนอยู่   ชื่อฉันใด  ด้วย
การไว้ใจต่อมิตร  มิตรกระทำอยู่ซึ่งความคุ้นเคย (ไว้วางใจ) ในภรรยา   ทรัพย์
และชีวิตเป็นต้น   หมดความสงสัยโดยความเป็นมิตรนั้นอยู่     ฉันนั้นเหมือน
กัน  ก็มิตรใด  ซึ่งผู้อื่นกล่าวเหตุตั้งร้อยอย่างพันอย่างก็ไม่แตกกัน   มิตรนั้นแล
ควรคบ.  ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงวิสัชนาแม้ปัญหาที่สองว่า   มิตรเช่นไร
ควรคบ    ดังนี้แล้ว  เพื่อจะทรงวิสัชนาปัญหาที่  ๓  จึงตรัสพระคาถาว่า     ปา-
มุชฺชกรณํ  เป็นต้น.
หน้า ๑๒๑