| เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า บุคคลย่อมทำซึ่งความปราโมชด้วยการ |
| กระทำฐานะใด เหตุนั้นการการทำฐานะนั้นชื่อว่า ปามุชฺชกรณํ เหตุที่ |
| กระทำซึ่งความปราโมทย์. |
| บทว่า านํ ได้แก่ เหตุ (ที่กระทำความปราโมทย์). |
| ถามว่า ก็เหตุนั้นคืออะไร ? |
| ตอบว่า เหตุนั้นคือความเพียร จริงอยู่ ความเพียรท่านเรียกว่า |
| ตัวสร้างความปราโมทย์ เพราะยังปิติปราโมทย์และความสุขที่อิงอาศัยธรรมให้เกิด |
| ขึ้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยอันเรา |
| กล่าวไว้ดีแล้วนี้ ผู้ใดปรารภความเพียรผู้นั้นย่อมอยู่เป็นสุข บุคคลย่อมนำมา |
| ซึ่งความสรรเสริญตัวเหตุใด เหตุนั้น ชื่อว่า ปสํสาวหนํ เหตุนำมาซึ่งความ |
| สรรเสริญ. |
| ผลานิสงส์ที่หวังอยู่ย่อมยังผลอันเป็นสุขให้เจริญ คือ ให้วัฒนาด้วย |
| อุปจารแห่งผล เพราะนำมาซึ่งทิพยสุขและมนุษยสุขตั้งแต่ต้น (และ) นำมา |
| ซึ่งนิพพานสุขในที่สุด. |
| บาทพระคาถาว่า วหนฺโต โปริสํ ธุรํ ความว่า ถือเอาซึ่งภาระ |
| อันสมควรแก่บุรุษอยู่ ชื่อว่าทำฐานะ กล่าวคือความเพียรอันเป็นสัมมัปปธาน |
| ให้เจริญ. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงวิสัชนาปัญหาที่ ๓ อย่างนี้ว่า "ควร |
| เสพความพยายามเช่นไร" ดังนี้แล้ว เพื่อทรงวิสัชนาปัญหาที่ ๔ จึงตรัสคาถาว่า |
| ปวิเวกรสํ เป็นต้น. |
| บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปวิเวโก ความว่า ผลอันเลิศท่านเรียกว่า |
| รสแห่งวิเวกนั้น เพราะเกิดแต่ความสงัดจากกิเลส ผลอันเลิศซึ่งสัมปยุตด้วย |
| วิเวกนั้น ชื่อว่า สุข เพราะอรรถว่า ชื่นใจ. |