๑๒๗    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๑๒๙
         ครั้งนั้น  ชายคนหนึ่งชื่อว่า  มุตมังคลิกะ  พูดว่า ท่านผู้เจริญ  สิ่งที่ได้
ฟังนี้   บุคคลย่อมได้ฟังสิ่งที่ดีบ้าง   ไม่ดีบ้าง  พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง   ถ้าหากสิ่งที่
ไดฟังนั้นเป็นมงคลไซร้  แม้ทุกสิ่งที่ได้ฟังก็เป็นมงคลหมด  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้
ฟังหาเป็นมงคลไม่  แต่อีกประการหนึ่งแล  สิ่งที่ได้ทราบจัดว่าเป็นมงคล  กลิ่น  รส
โผฏฐัพพะ  ที่สมมติกันว่าเป็นมงคลยิ่ง  ชื่อว่าสิ่งที่ได้ทราบเป็นมงคล  คือบุคคล
บางคนในโลกนี้   ตื่นแต่เช้า   สูดกลิ่นดอกไม้มีกลิ่นดอกปทุมบ้าง   เคี้ยวไม้ชำระ
ฟันสีขาวบ้าง  จับต้องแผ่นดินบ้าง   จับต้องข้าวกล้าที่เขียวสดบ้าง  จับต้องโคมัย
สดบ้าง  จับต้องเต่าบ้าง   จับต้องเกวียนบรรทุกงาบ้าง   ดอกไม้บ้าง   ผลไม้บ้าง
หรือว่า ย่อมลูบไล้ร่างกายอย่างดีด้วยดินขาว (ดินสอพอง) นุ่งผ้าสาฏกสีขาวบ้าง
โพกผ้าขาวบ้าง.   ก็หรือว่าสูดกลิ่นแม้อื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง    ที่สมมติกันว่าเป็น
มงคลยิ่งเห็นปานนี้     หรือว่าลิ้มรส . . .หรือว่าถูกต้องโผฏฐัพพะ... นี้เขาเรียก
กันว่า  มุตมงคล.  คำของนายมุตมังคลิกะแม้นั้น  บางพวกก็เชื่อถือ  บางพวก
ไม่เธอถือ.
         ในบรรดาคนเหล่านั้น    นายทิฏฐมังคลิกะ  ไม่อาจจะให้นายสุตมังคลิกะ
และนายมุตมังคลิกะยินยอมได้   หายสุตมังคลิกะก็ไม่อาจจะให้นายทิฏฐมงคลิกะ
และหายสุตมังคลิกะยินยอมได้     นายทิฏฐมังคลิกะและนายสุตมังคลิกะนอกนี้ก็
ไม่อาจให้นายมุตมังคลิกะยินยอมได้   ก็ในบรรดามนุษย์เหล่านี้   มนุษย์เหล่าใด
เชื่อถือคำของนายทิฏฐมังคลิกะ    มนุษย์เหล่านั้นก็ลงสันนิษฐานกันว่า     สิ่งที่
เห็นแล้วเท่านั้นเป็นมงคล      มนุษย์เหล่าใดเชื่อคำของนายสุตมังคลิกะและ
นายมุตมังคลิกะ    มนุษย์เหล่านั้นก็ลงสันนิษฐานว่า สิ่งที่ได้ฟังแล้วเท่านั้นเป็น
หน้า ๑๒๘