| คำว่า อุตฺตมํ ได้แก่ ประเสริฐ คือ เลิศ ได้แก่ นำมาซึ่งประโยชน์ |
| สุขแก่โลกทั้งปวง นี้คือการอธิบายตามลำดับบทแห่งคาถา. ส่วนการประมวล |
| เนื้อความมีดังต่อไปนี้. |
| เทพบุตรนั้น เชิญเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาลให้ประชุมกันใน |
| จักรวาลอันเดียวนี้ เพื่อต้องการจะฟังมงคลปัญหา ได้เห็นแล้วซึ่งเทวดา มาร |
| และพรหมทั้งปวง ผู้เนรมิตอัตภาพให้ละเอียด ประมาณเท่าปลายขนทราย |
| เส้นหนึ่ง เป็น ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ บ้าง ๓๐ บ้าง ๔๐ บ้าง ๕๐ บ้าง ๖๐ บ้าง |
| ๗๐ บ้าง ๘๐ บ้าง ผู้ยืนแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งประทับนั่งเหนือ |
| บวรพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดไว้แล้ว ผู้รุ่งโรจน์ก้าวล่วง (เทพ, มาร, และพรหม) |
| เหล่านั้น ด้วยพระสิริและพระเดช และได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของ |
| พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้ที่ยังไม่ได้ทราบในสมัยนั้นด้วยใจ เพื่อจะถอน |
| เสียซึ่งลูกศรคือความสงสัยของเทพเจ้าและมนุษย์ทั้งปวง จึงได้ทูลว่า เทพเจ้า |
| เเละมนุษย์เป็นอันมาก หวังอยู่ซึ่งความสวัสดี คือปรารถนาความสวัสดีแห่งตน |
| จึงพากันคิดมงคลทั้งหลายข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เป็นผู้ซึ่งข้าพระองค์ |
| ทูลถามแล้ว ตามความอนุมัติของเทพเจ้าเหล่านั้น และด้วยความอนุเคราะห์ |
| ของมนุษย์ทั้งหลาย ขอจงตรัสบอกซึ่งมงคลอย่างสูงสุด คือว่าขอพระองค์ได้ |
| อาศัยความอนุเคราะห์ต่อข้าพระองค์ทั้งหลาย โปรดตรัสบอกมงคลอันสูงสุด |
| เพราะจะนำประโยชน์สุขมาให้โดยส่วนเดียว แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ทั้งปวง |
| ทีเดียว. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำของเทพบุตรนี้อย่างนี้แล้ว จึงตรัส |
| พระคาถาว่า อเสวนา จ พาลานํ เป็นต้น. |