| จึงได้ตรัสถึงการไม่คนพวกคนพาลก่อน (ตรัส) ถึงการคบบัณฑิตทั้งหลายใน |
| ภายหลัง. ตอบว่า เพราะเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถือเอาแล้วซึ่งความเห็น |
| อันเป็นมงคล ในมงคลทั้งหลายมีทิฏฐิมงคลเป็นต้นนี้ เพราะด้วยการเสพกับ |
| คนพาล และมงคลทิฏฐินี้ก็เป็นอัปมงคล ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรง |
| ติเตียนการคลุกคลีกับอกัลยาณมิตร ซึ่งหักรานประโยชน์ในโลกนี้ ในโลกอื่น |
| นั้น และเมื่อทรงสรรเสริญการคบกัลยาณมิตรผู้ทำประโยชน์ในโลกทั้งสองให้ |
| สำเร็จ จึงได้ตรัสการไม่คบพวกคนพาลก่อน และตรัสการคบบัณฑิตทั้งหลาย |
| ในภายหลัง แก่เทวดาและมนุษย์เหล่านั้น. |
| สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบแล้วด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ มีปาณาติบาต |
| เป็นต้นเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ชื่อว่า คนพาล. ในบรรดาคนพาลและบัณฑิต |
| ทั้งสองนั้น พวกคนพาลเหล่านั้น บัณฑิตจะพึงทราบได้ด้วยอาการ ๓ อย่าง |
| สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล |
| มีพาลลักษณะ ๓ ประการเหล่านี้ ดังนี้๑ |
| อีกอย่างหนึ่ง ชนทั้งหลายเหล่านี้คือ ครูทั้งหกมีปูรณกัสสปเป็นต้น |
| ชนทั้งหลายมีพระเทวทัต พระโกกาลิกะ พระกฏโมสกติสสะ พระขัณฑเทวีบุตร |
| พระสมุททัตตะ และนางจิญจมาณวิกาเป็นต้น และพระภาดาของพระเจ้าทีฆวิท |
| ในอดีตกาล เเละสัตว์เห็นปานนี้เหล่าอื่น พึงทราบว่า คนพาล ชนเหล่านั้น |
| ย่อมทำตนเองและชนทั้งหลายที่ทำตามถ้อยคำของตนให้ถึงความพินาศ ด้วยตน |
| ที่ถือเอาผิดประดุจเรือนที่ถูกไฟไหม้ทั่วแล้วฉะนั้น เหมือนอย่างพระภาดาของ |
| พระเจ้าทีฆวิทมีอัตภาพประมาณ ๖0 โยชน์ นอนหงายตกไป อันไฟไหม้อยู่ |
|