๑๖๐    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๑๖๒
ดังนี้เป็นต้น     และโดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า    ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้สดับมาก คือทรงไว้ซึ่งสุตตะ  เคยยะ  เวยยากรณะ  เป็นต้น   พาหุสัจจะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า   เป็นมงคล   เพราะเป็นเหตุให้ละอกุศลธรรม   และ
บรรลุกุศลธรรม     และเพราะเป็นเหตุทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถสัจจะ     โดยลำดับ.
สมจริงดังคำ   ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า  ภิกษุทั้งหลาย  ก็อริยสาวกได้สดับ
แล้วแล  ย่อมละอกุศล   บำเพ็ญกุศล   ละธรรมที่มีโทษ    บำเพ็ญธรรมที่ไม่มี
โทษ  รักษาตนให้บริสุทธิ์อยู่   ดังนี้เป็นต้น.
         พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แม้อื่นอื่นกว่า  ภิกษุย่อมเข้าไปเพ่ง   ซึ่งเนื้อ-
ความแห่งธรรมทั้งหลายที่ตนทรงไว้แล้ว     เมื่อเธอเข้าไปเพ่งอยู่ซึ่งเนื้อความ
ธรรมย่อมทนต่อการเพ่งพินิจ      เมื่อมีการอดทนต่อการเพ่งพินิจธรรมอยู่
ความพอใจก็เกิดขึ้น   ผู้ที่เกิดความพอใจ   ย่อมอุตสาหะ   เมื่ออุตสาหะ   ย่อม
ไตร่ตรอง เมื่อไตร่ตรอง  ย่อมเพียรพยายาม เมื่อเพียรพยายาม  ก็ย่อมทำให้แจ้ง
ซึ่งปรมัตถสัจจะด้วยนามกาย  และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา.
         อีกอย่างหนึ่ง แม้พาหุสัจจะของฆราวาส  ที่ไม่มีโทษ  พึงทราบว่า  เป็น
มงคล  เพราะนำประโยชน์สุขในโลกทั้งสองมาให้.
         ชื่อว่า  ศิลปะ  (มี ๒ ชนิด) คือ อาคาริยศิลปะ  และอนาคาริยศิลปะ
ในศิลปะทั้งสองอย่างนั้น   อาคาริยศิลปะ  ได้แก่ การงานที่เว้นจากการเบียด-
เป็นสัตว์อื่น    เว้นจากอกุศล    มีการงานของนายช่างแก้ว     และนายช่างทอง
เป็นต้น   อาคาริยศิลปะนั้น     ชื่อว่า  เป็นมงคล   เพราะนำมาซึ่งประโยชน์ใน
โลกนี้    (ส่วน)     การจัดทำสมณบริขารมีการจัดแจงและการเย็บจีวรเป็นต้น
หน้า ๑๖๑