| สัตบุรุษทั้งหลายกล่าววาจาสุภาษิตว่า |
| เป็นวาจาสูงสุด เป็นที่หนึ่ง บุคคลพึงกล่าว |
| วาจาอันเป็นธรรม ไม่พึงกล่าววาจาอันไม่ |
| เป็นธรรมนั้น เป็นที่สอง พึงกล่าววาจาเป็น |
| ที่รัก ไม่พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รักนั้น |
| เป็นที่สาม พึงกล่าววาจาจริง ไม่พึงกล่าว |
| วาจาเหลาะแหละนั้น เป็นที่สี่ ดังนี้. |
| แม้วาจาสุภาษิตธรรมนี้ พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะนำมาซึ่งประโยชน์ |
| เกื้อกูลและความสุขในโลกทั้งสอง. ก็เพราะเหตุที่วาจาสุภาษิตนี้นับเนื่องอยู่ใน |
| วินัยอยู่แล้วนี้เอง ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่สงเคราะห์วาจาสุภาษิตนี้ด้วย |
| วินัยศัพท์ สงเคราะห์แต่วินัย (เท่านั้น ด้วยวินัยศัพท์) |
| อีกอย่างหนึ่ง จะมีประโยชน์อะไรด้วยความลำบากนี้ วาจาเป็นเครื่อง |
| แสดงพระธรรมแก่คนเหล่าอื่น ก็พึงทราบว่า เป็นวาจาสุภาษิต ในที่นี้ จริงอยู่ |
| วาจาสุภาษิตนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นมงคล เพราะเป็นปัจจัยให้ |
| สัตว์ทั้งหลายได้บรรลุประโยชน์เกื้อกูล และความสุขในโลกทั้งสอง และพระ- |
| นิพพาน ท่านกล่าวไว้ว่า |
| พระพุทธเจ้าตรัสวาจาใด อันเกษม |
| เพื่อบรรลุพระนิพพาน เพื่อกระทำที่สุดทุกข์ |
| วาจานั้นแล สูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย. |
| ด้วยพระคาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมงคล ๔ ประการคือ ความ |
| เป็นพหูสูต (พาหุสัจจะ) ๑ ศิลปะ ๑ วินัยที่ศึกษาดีแล้ว ๑ วาจาสุภาษิต ๑ |
|