| นั้น สมอดองด้วยน้ำมูตรเน่า บัณฑิตทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นต้น |
| สรรเสริญแล้ว และภิกษุนี้ก็คิดว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า บรรพชาอาศัย |
| ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า. เธอพึงทำความอุตสาหะในยาดองด้วยน้ำมูตรเน่านั้น |
| (พึงฉัน ) ตลอดชีวิต จึงห้ามเภสัชที่เป็นของหวานทั้ง ๔ เสีย แล้วทำยาด้วย |
| สมอดองน้ำมูตรเน่า ก็จัดว่าเป็นผู้สันโดษอย่างยิ่งเทียว นี้ชื่อว่า ยถาสารุปป- |
| สันโดษ ในคิลานปัจจัยของภิกษุนั้น. |
| สันโดษนี้ทั้งหมดมีประเภทดังกล่าวมาแล้วอย่างนี้ ท่านเรียกว่า |
| สันตุฏฐี. สันตุฏฐีนั้น พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งการละบาป |
| ธรรมทั้งหลาย มีความปรารถนาเกินไป ความปรารถนาลามก ความอยาก |
| ใหญ่เป็นต้น และการบรรลุคุณธรรม เพราะเป็นเหตุแห่งสุคติ เพราะเป็น |
| เหตุแห่งการสั่งสมอริยมรรค และเพราะเป็นเหตุแห่งความเที่ยวไปสะดวกใน |
| ทิศทั้ง ๔ เป็นต้น. และท่านกล่าวไว้ว่า |
| ผู้ที่สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ |
| เป็นผู้เที่ยวไปสะดวกในทิศทั้ง ๔ และเป็น |
| ผู้ไม่คับแค้น ดังนี้เป็นต้น.๑ |
| การรู้อุปการคุณที่คนใดคนหนึ่งได้กระทำไว้ จะน้อยหรือมากก็ตาม |
| โดยการระลึกถึงบ่อย ๆ ชื่อว่า กตัญญุตา. อีกอย่างหนึ่ง บุญทั้งหลายนั่นเอง |
| ชื่อว่ามีอุปการะมากแก่สัตว์ทั้งหลาย เพราะป้องกันอันตรายจากทุกข์ มีทุกข์ใน |
| นรกเป็นต้น เพราะการระลึกถึงอุปการะแม้แห่งบุญเหล่านั้น ก็พึงทราบว่า |
| กตัญญุตา. |
|