๑๘๘    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๑๙๐
กัน  พระภิกษุผู้เรียนอรรถกถา ๒ รูป   สนทนาอรรถกถากัน หรือว่าภิกษุทั้งหลาย
ย่อมสนทนากันในกาลนั้น  ๆ   เพื่อชำระจิตที่หดหู่   ฟุ้งซ่าน  และสงสัยเป็นไป
ในเบื้องหน้า  การสนทนาธรรมตามกาลนั้น    ท่านเรียกว่า   เป็นมงคล  เพราะ
เป็นเหตุแห่งคุณทั้งหลาย   มีความเป็นผู้ฉลาดในอาคม (ปริยัติ) เป็นต้น.
         ด้วยพระคาถานี้    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมงคล ๔ มงคล คือ ขันติ ๑
โสวจัสสตา   ๑  การเห็นสมณะทั้งหลาย ๑    การสนทนาธรรมตามกาล  ๑  ดัง
พรรณนามาฉะนี้   และความที่ธรรมเหล่านั้นเป็นมงคล   ข้าพเจ้าก็ได้อธิบายไว้
ชัดเจนแล้วในมงคลนั้น   ๆ นั่นแหละ  ดังนี้แล.
                               จบการพรรณนาเนื้อความแห่งคาถานี้ว่า
                                             ขนฺตี  จ เป็นต้น
คาถาที่ ๙  (มี ๔ มงคล)
         บัดนี้   พึงทราบวินิจฉัยในคาถามีบทว่า   ตโป  จ  เป็นต้นดังต่อไปนี้
ธรรมที่ชื่อว่า  ตบะ  เพราะอรรถว่าแผดเผาบาปธรรมทั้งหลาย.  ความประพฤติ
ที่ประเสริฐ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า พรหมจรรย์. อีกอย่างหนึ่ง ความประพฤติ
ของพรหมทั้งหลาย  ชื่อว่า  พรหมจรรย์    มีคำอธิบายว่า  ความประพฤติอย่าง
ประเสริฐ.  การเห็นอริยสัจทั้งหลาย  ชื่อว่า    อริยสจฺจานทสฺสนํ   อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า   อริยสจฺจานิ  ทสฺสนํ  ดังนี้ก็มี ข้อนี้ไม่ดี.
         ที่ชื่อว่า นิพพาน เพราะออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัด  ที่ชื่อว่า  วานะ.
         การทำให้แจ้ง  ชื่อว่า  สจฺฉิกิริยา.
         การทำให้แจ้ง  ซึ่งพระนิพพาน  ชื่อ  นิพฺพานสจฺฉิกิริยา.
หน้า ๑๘๙