๑๘๙    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๑๙๑
         คำที่เหลือมีนัยอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั้นแล   นี่คือการพรรณาเฉพาะ
บท  ส่วนการพรรณนาเนื้อความ   ผู้ศึกษาพึงทราบ   ดังต่อไปนี้.
         การสำรวมอินทรีย์   โดยแผดเผาอกุศลธรรมทั้งหลาย   มีอภิชฌาและ
โทมนัสเป็นต้น    หรือความเพียร  อันแผดเผาความเกียจคร้านชื่อว่า     ตปะ.
เพราะว่าบุคคลที่ประกอบด้วยตปะนั้น     ท่านเรียกว่า  อาตาปี   ผู้มีตบะ  หรือ
ผู้มีความเพียรเป็นเครื่องแผดเผาบาป.
         ตบะนี้นั้น  พึงทราบว่า  เป็นมงคล  เพราะเป็นเหตุให้ละอภิชฌาเป็นต้น
เสียได้  และเป็นเหตุให้ได้ฌานเป็นต้น.
         ชื่อว่า  พรหมจรรย์   เป็นชื่อแห่งเมถุนวิรัติ,  สมณธรรม,  ศาสนา
และมรรค   จริงอย่างนั้น   เมถุนวิรัติในธรรมทั้งหลาย    มีคำเป็นต้นอย่างนี้ว่า
บุคคลละความประพฤติที่ไม่ประเสริฐ   เป็นผู้มีปกติประพฤติประเสริฐ    ดังนี้
ท่านเรียกว่า  พรหมจรรย์.
         สมณธรรมทั้งหลาย  มีอาทิอย่างนี้ว่า  ดูก่อนอาวุโส   เราอยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า  ดังนี้   ท่านก็เรียกว่า  พรหมจรรย์.
         ศาสนาในธรรมทั้งหลาย   มีคำเป็นอาทิอย่างนี้ว่า    ดูก่อนมารผู้มีบาป
เราจักยังไม่ปรินิพพาน    ตราบเท่าที่พรหมจรรย์ของเรานี้   จักไม่บริบูรณ์  ไม่
แพร่หลาย   กว้างขวาง   มีคนรู้จักมาก  ดังนี้   ท่านก็เรียกว่า  พรหมจรรย์.
         มรรคในคำทั้งหลาย    มีอาทิอย่างนี้ว่า  ดูก่อนภิกษุ    อัฏฐังคิกมรรค
อันประเสริฐนี้เท่านั้นแล  เป็นตัวพรหมจรรย์  คือ   สัมมาทิฏฐิ    ดังนี้     ท่านก็
เรียกว่า พรหมจรรย์.  แต่ในพระสูตรนี้   คำทั้งปวงที่เหลือก็ใช้ได้  เพราะยึดถือ
เอามรรคเป็นเบื้องหน้าในการเห็นอริยสัจ   ก็พรหมจรรย์นี้นั้นพึงทราบว่าเป็น
มงคล  เพราะเป็นเหตุแห่งการบรรลุคุณวิเศษ   มีประการต่าง ๆ สูง ๆ  ขึ้นไป.
หน้า ๑๙๐