| สัมผัส รวมทั้งธรรมที่น่าปรารถนา และ |
| ธรรมนี้ไม่น่าปรารถนา หาได้ทำจิตซึ่งตั้งมั่น |
| หลุดพ้นแล้วของท่านผู้คงที่ให้หวั่นไหวไม่ |
| ทั้งท่านย่อมเห็นความสิ้นไปแห่งสภาวธรรม |
| เหล่านั้นด้วย ดังนี้๑ |
| จิตของพระขีณาสพเท่านั้น ชื่อว่า อโสกํ ไม่เศร้าโศก. จริงอยู่ |
| จิตของพระขีณาสพเหล่านั้น ชื่อว่า ไม่เศร้าโศก เพราะไม่มีความโศก ที่ท่าน |
| เรียกกันโดยนัยว่า ความโศก ความเศร้าโศก ความเป็นผู้เศร้าโศก ความ |
| เศร้าโศกในภายใน ความแห้งเกรียมในภายใน ความที่ใจเผาไหม้ ดังนี้เป็นต้น. |
| อาจารย์บางพวก เรียกจิตที่ไม่เศร้าโศกนี้ว่า พระนิพพาน. |
| จิตที่ไม่เศร้าโศกนั้น ท่านไม่ต่อกับบทก่อน (จิตที่ถูกโลกธรรม) |
| เหมือนอย่างว่า คำว่าจิตไม่เศร้าโศกเป็นจิตของพระขีณาสพฉันใด แม้คำว่า |
| จิตที่ปราศจากธุลี จิตเกษม ก็เป็นจิตของพระขีณาสพเหมือนกันฉันนั้น ด้วยว่า |
| จิตของพระขีณาสพนั้น ชื่อว่า ปราศจากธุลี เพราะเป็นจิตที่ปราศจากธุลีคือ |
| ราคะ โทสะ และโมหะ และ ชื่อว่า เกษม เพราะเป็นจิตที่ปลอดจากโยคะ |
| ทั้งสี่ เพราะจิตของพระขีณาสพนี้ แม้จะมี ๓ อย่าง (อโสกํ วิรชํ เขมํ) |
| ด้วยสามารถที่ท่านถือเอาในปวัตติขณะนั้น ๆ แสดงไว้โดยอาการนั้น ๆ ก็พึง |
| ทราบว่า เป็นมงคล เพราะนำมาซึ่งความเป็นผู้ยอดเยี่ยมในโลก มีความที่ขันธ์ |
| ไม่เป็นไปอีกเป็นต้น (ไม่ต้องเกิดอีก) และนำมาซึ่งความเป็น อาหุเนยยบุคคล |
| เป็นต้น. |
|