| กิเลสทั้งปวงมีราคะเป็นต้นเหล่านี้ มีวิตกเป็นปริโยสาน เกิดด้วยความ |
| เยื่อใย ด้วยอำนาจตัณหา และเมื่อเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น ชื่อว่าเกิดแล้วในตน |
| อันเป็นปริยายแห่งอัตภาพ ซึ่งต่างโดยอุปาทานขันธ์ ๕ เพราะเหตุนั้น พระผู้มี |
| พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เสฺนหชา อตฺตสมฺภูตา บทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า |
| ทรงกระทำอุปมา ซึ่งส่องถึงเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า นิโคฺรธสฺเสว ขนฺธชา |
| เหมือนย่านไทรเกิดแต่ต้นไทรฉะนั้น ย่านทั้งหลายเกิดแล้วที่ลำต้นทั้งหลาย |
| ในต้นไทรนั้น ชื่อว่าเกิดแล้วแต่ลำต้น. |
| คำว่า ขนฺธชา เป็นชื่อของย่านไทรทั้งหลาย. |
| ถามว่า ท่านกล่าว อธิบายไว้อย่างไร. |
| ตอบว่า ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ย่านไทรทั้งหลาย ชื่อว่าเกิดแล้ว |
| แต่ลำต้นของต้นไทร. เมื่อยางเหนียวแห่งรสอันเกิดแต่น้ำยังมีอยู่ ก็ย่อมเกิด |
| ขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อมเจริญขึ้น ในประเภทแห่งกิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ๆ |
| ที่ต้นไทรนั้นเอง ฉันใด กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นเหล่านี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน |
| เมื่อความเสน่หาคือตัณหาในภายในยังมีอยู่ ก็เกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อม |
| เจริญขึ้นในทวาร อารมณ์ และวัตถุทั้งหลาย อันต่างด้วยประเภทมีจักษุเป็นต้น |
| เหล่านั้น ๆ ในอัตภาพนั้นนั่นเอง. คำว่า กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นเหล่านี้ |
| เกิดแต่อัตภาพ เกิดจากอัตภาพ และมีอัตภาพเป็นสมุฏฐานดังนี้. นี้ บัณฑิต |
| พึงทราบ ดังพรรณนามา. |
| ส่วนในคาถากึ่งที่เหลือ มีการพรรณนาเนื้อความ ซึ่งอธิบายรวม ๆ |
| กันทั้งหมด ดังต่อไปนี้ :- |
| ก็กิเลสทั้งหลายเหล่านี้เป็นอันมาก ซึ่งเกิดแล้วในตนอย่างนี้ ซ่านไป |
| แล้วในกามทั้งหลาย คือว่า กิเลสทั้งหลายเหล่านี้แม้ทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวง |