๒๐๗    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๐๙
คือ ตัวราคะซึ่งเกิดขึ้นในตน   ด้วยอำนาจแห่งกามคุณ  ๕  ก็ดี  โทสะซึ่งเกิดขึ้น
ในตนด้วยอำนาจแห่งอาฆาตวัตถุเป็นต้นก็ดี     กิเลสทั้งหลายมีความไม่พอใจ
เป็นต้น    ซึ่งเกิดขึ้นในตนด้วยอำนาจแห่งประเภทแห่งกิเลสนั้น    ๆ  นั่นเองก็ดี
มีเป็นอันมาก  คือมีอเนกประการ   ซ่านไปแล้ว   คือติดแล้ว    ข้องแล้ว   เกี่ยว
พันไว้ดำรงอยู่แล้ว   โดยประการนั้น ๆ  ในวัตถุกามทั้งหลายเหล่านั้น ๆ   ด้วย
สามารถแห่งวัตถุ  ทวาร และอารมณ์เป็นต้น.
         ถามว่า  เหมือนกับอะไร.
         ตอบว่า   เหมือนกับเถาย่านทราย   ปกคลุมแล้วในป่า.   (ธรรมดาว่า)
เถาย่านทรายทั้งหลาย   ซึ่งปกคลุมอยู่แล้วในป่า   ย่อมเป็นเถาวัลย์ซึ่งรึงรัด  คือ
เกี่ยวเกาะ  คล้องเอาไว้  รึงรัดเอาไว้   ที่ต้นไทรทั้งหลาย   อันต่างด้วยกิ่งน้อย
และกิ่งใหญ่ทั้งหลาย   เป็นต้น     ดำรงอยู่แล้ว    ฉันใด    สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด
ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่กิเลสนั้น      เกิดจากเหตุอะไร.    ที่ซ่านไปในวัตถุกามทั้งหลาย
ซึ่งมีมากประเภทอย่างนี้.     ดูก่อนยักษ์  ท่านจงฟัง  สัตว์เหล่านั้นย่อมบรรเทา
ซึ่งหมู่กิเลสนั้นเสียได้ว่าเหตุเป็นแดนเกิด  ดังนี้.
         บรรดาบทเหล่านั้น   บทว่า  ยโตนิทานํ  เป็นการแสดงถึงนปุงสกลิงค์.
ด้วยคำว่า  ยโตนิทานํ  นั้น   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอะไรไว้.    สัตว์-
เหล่าใดย่อมรู้หมู่แห่งกิเลสนั้นอย่างนี้ว่า    เกิดจากเหตุอะไร    สัตว์เหล่านั้น
รู้ซึ่งหมู่แห่งกิเลสนั้นว่า       ย่อมเกิดขึ้นในอัตภาพซึ่งเยื่อใยแล้วด้วยยางเหนียว
คือตัณหา    แล้วชำระยางเหนียวคือตัณหานั้นเสีย    ด้วยไฟคือภาวนาญาณ    มี
อาทีนวานุปัสสนาเป็นต้น  ย่อมบรรเทา  ได้แก่ย่อมละ  คือว่า  ย่อมทำให้สิ้นสุด
ดูก่อนยักษ์  ท่านจงฟังสุภาษิตนั้นของเราทั้งหลาย.  ในคำว่า  ยโตนิทานํ  นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง   การกำหนดรู้ทุกข์   ด้วยการทราบชัดซึ่งอัตภาพ
หน้า ๒๐๘