๒๑๒    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๑๔
สำนักของอุปัชฌาย์และอาจารย์ทั้งหลายเป็นเวลา ๕ ปี   มีพรรษา ๕  ฟังกรรม-
ฐานจนถึงอรหัตแล้วจึงเข้าไปสู่ป่า  พยายามอยู่ก็ได้บรรลุพระอรหัต.
         พระกปิละคิดว่า   เรายังหนุ่มอยู่ก่อน   ในเวลาแก่แล้วเราจะบำเพ็ญแม้
วาสธุระดังนี้แล้ว   ก็เริ่มคันถธุระ  ได้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกแล้ว    พระกปิละ
นั้นมีบริวาร  เพราะอาศัยปริยัติ  เพราะอาศัยบริวาร  ลาภก็เกิดขึ้น   พระกปิละ
นั้นเมาด้วยการเมาในการที่ตนเป็นพาหุสัจจะ สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต   มีความ
สำคัญว่าตนรู้  แม้ในสิ่งที่ตนยังไม่รู้  กล่าวสิ่งที่เป็นกัปปิยะที่ภิกษุเหล่าอื่นกล่าว
แล้วว่าเป็นอกัปปิยะ  แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะว่าเป็นกัปปิยะ    แม้สิ่งที่มีโทษว่าไม่
มีโทษ  แม้สิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ.
         ต่อแต่นั้น   พระกปิละนั้น    อันภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักโอวาทอยู่
โดยนัยว่า  คุณกปิละ คุณอย่าได้พูดอย่างนี้   ดังนี้เป็นต้น  ก็เที่ยวขู่ตะคอกภิกษุ
ทั้งหลายด้วยคำทั้งหลายว่า  พวกท่านเหมือนกับคนมีกำมือเปล่า  จะรู้อะไร ดังนี้
เป็นต้นอยู่นั้นแล   ภิกษุทั้งหลายได้บอกเรื่องนี้   แม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็นพี่
ชายของท่าน  แม้พระโสธนเถระนั้นก็ได้เข้าไปหาพระกปิละนั้นแล้วพูดว่า  คุณ
กปิละ  การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายเช่นคุณเป็นอายุของพระศาสนา  ดูก่อน
อาวุโส   คุณอย่าได้พูดแม้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ  ฯลฯ สิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ.   พระ
กปิละนั้นก็ไม่สนใจคำของพระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายแม้นั้น.    ลำดับนั้น  พระ
โสธนเถระได้กล่าวกะพระกปิละขึ้น   ๒-๓  ครั้งว่า
                        ผู้อนุเคราะห์จะพึงพูดคำหนึ่ง  หรือ
                ๒ คำ  ไม่พึงพูดให้มากไปกว่านั้น    (เพราะ
                ว่าถ้าท่านผู้อนุเคราะห์จะพึงกล่าวให้มากไป
หน้า ๒๑๓