๒๑๓    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๑๕
                กว่านั้น)      จะพึงมีโทษในสำนักของพระ
                อริยะได้  ดังนี้
แล้วก็งดเว้นเสีย    (หยุดพูด)   แล้วจึงกล่าวว่า   อาวุโส   คุณนั้นเองจะปรากฏ
ด้วยกรรมของคุณ   ดังนี้แล้วก็หลีกไป  จำเดิมแต่นั้นมา   ภิกษุทั้งหลายที่มีศีล
เป็นที่รัก    ก็ทอดทิ้งพระกปิละนั้นเสีย.
         พระกปิละนั้นเป็นผู้ประพฤติชั่ว   มีภิกษุประพฤติชั่วแวดล้อมอยู่   วัน
หนึ่งคิดว่า    เราจะลงอุโบสถ    แล้วก็ขึ้นสู่อาสนะอันประเสริฐ    จับพัด
อันวิจิตร  พอนั่งลงก็พูดขึ้น ๓ ครั้งว่า   อาวุโสทั้งหลาย    ปาติโมกข์ย่อมควร
แก่ภิกษุทั้งหลายในที่นี้หรือ.  ครั้งนั้น   แม้ภิกษุรูปหนึ่งก็ไม่ได้พูดว่า  ปาติโมกข์
ย่อมควรแก่ข้าพเจ้า   ทั้งก็ไม่ได้พูดว่าปาติโมกข์ย่อมควรแก่พระกปิละนั้น  หรือ
แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น.   ลำดับนั้นพระกปิละนั้นก็พูดว่า  เมื่อปาติโมกข์พวก
เราฟังก็ดี    ไม่ฟังก็ดี    ชื่อว่าวินัยไม่มีหรอก     ดังนี้แล้วก็ลุกขึ้นจากอาสนะ
พระกปิละนั้น  ทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่ากัสสปะให้
เสื่อมถอย  คือให้พินาศแล้ว   ด้วยประการฉะนี้.
         ครั้งนั้น  พระโสธนเถระก็ได้ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง.  พระกปิละ
แม้นั้นทำศาสนานั้นให้เสื่อมถอยลงไปอย่างนี้แล้ว     เมื่อถึงแก่กรรม   ก็บังเกิด
ในอเวจีมหานรก       มารดาและน้องสาวของท่านแม้นั้นถึงทิฏฐานุคติของพระ
กปิละนั้นนั่งเอง  ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รัก  ทำกาละแล้วก็บังเกิด
ในนรก.
หน้า ๒๑๔