๒๑๕    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๑๗
         ต่อมา  หัวหน้าชาวประมงคิดอยู่ว่า  ในบ้านนี้เด็กทั้งหลายแม้เหล่าอื่น
ซึ่งเกิดในวันนี้มีอยู่หรือหนอแล  ได้พบทารกเหล่านั้นแล้วก็คิดว่า   เด็กเหล่านี้
จักเป็นสหายของบุตรของเรา   แล้วจึงได้ให้วัตถุที่ควรเลี้ยงดูแก่เด็กเหล่านั้นทุก
คน เด็กเหล่านั้นทั้งหมดเป็นสหายเล่นฝุ่นด้วยกัน  ได้ถึงความเจริญวัยโดยลำดับ
เด็กชื่อว่าโสชะเป็นผู้เลิศกว่าเด็กเหล่านั้น.
         ครั้งนั้น   แม้ภิกษุชื่อว่ากปิละก็มาเกิดเป็นปลาสเหมือนทอง    แต่ปาก
เหม็น  ในแม่น้ำอจิรวดี   ด้วยเศษกรรมที่เหลือลงในนรก    ต่อมาวันหนึ่ง   เด็ก
ชาวประมงเหล่านั้นทั้งหมด  ถือเอาแห (อวน) แล้วคิดว่า   เราจักฆ่าปลาทั้งหลาย
แล้วจึงไปที่แม่น้ำเหวี่ยงแหลงไป     ปลานั้นเข้าไปสู่แหของชาวประมงเหล่านั้น
หมู่บ้านชาวประมงทั้งหมดเห็นปลานั้นแล้ว  ก็พากันพูดเสียงดังลั่น   พากันพูดว่า
บุตรของพวกเราจับปลาทั้งหลายครั้งแรก ๆ ก็จับได้ปลาทอง    ความเจริญจักมี
แก่เด็ก ๆ เหล่านั้น     และบัดนี้พระราชาคงพระราชทานทรัพย์มากแก่เรา
ทั้งหลาย.
         ครั้งนั้น    สหายทั้ง  ๕๐๐  คนแม้เหล่านั้น   เอาปลาลงใส่ในเรือแล้วยก
เรือขึ้นได้ไปสู่สำนักของพระราชา   พระราชาทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า    นั่นอะไร
สหาย  พวกเขาทูลว่า ปลา พระเจ้าข้า  พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลาสีทองก็
ทรงดำริว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงทราบเหตุที่ปลานี้มีสีทอง    ดังนี้แล้วจึง
รับสั่งให้ถือปลาแล้วได้เสด็จไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า    ในเวลาที่ปลา
อ้าปากขึ้น  พระเชตวันก็มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง.    พระราชาทูลถามพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าว่า   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เพราะเหตุไร  ปลาจึงเกิดเป็นปลามีสีทอง และ
เพราะเหตุไร  กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น.
หน้า ๒๑๖