| อันความวิปฏิสารครอบงำ ใช้ศีรษะฟาดเรือแล้วก็ตายไปเกิดในมหานรก มหา- |
| ชนเกิดความสังเวช ขนลุกชูชัน. ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรม |
| อันสมควรแก่ขณะนั้น ในบริษัท ซึ่งมีทั้งคฤหัสถ์เเละบรรพชิตที่มาพร้อมกัน |
| ได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว. |
| การประพฤติธรรมมีกายสุจริตเป็นต้น ชื่อว่า ธมฺมจริยํ ในพระคาถา |
| นั้น. มรรคพรหมจรรย์ ชื่อว่า พฺรหฺมจริยํ. |
| บาทพระคาถาว่า เอตทาหุ วสุตฺตมํ ความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลาย |
| กล่าวถึงการประพฤติสุจริตทั้งที่เป็นโลกีย์และโลกุตระแม้ทั้งสองนี้ว่า เป็นสมบัติ |
| สูงสุด เพราะยังสัตว์ให้ประสบความสุขในสวรรค์และนิพพาน อธิบายว่า รัตนะ |
| อันอุดมคือรัตนะที่ไม่ทั่วไปแก่ชนทั้งหลายมีพระราชาเป็นต้น เพราะเป็นรัตนะ |
| ที่สามารถติดตามชนทั้งหลายผู้สั่งสมบุญไว้ ชื่อว่า วสุตตมะ. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้น ทรงแสดงว่าการปฏิบัติชอบเท่านั้นย่อมเป็นที่พึ่ง |
| ของคฤหัสถ์เเละบรรพชิตได้ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ บัดนี้เมื่อจะทรงติเตียน |
| พระภิกษุชื่อกปิละหรือภิกษุผู้เช่นนั้นเหล่าอื่น ด้วยการแสดงความไม่มีสาระใน |
| บรรพชา ที่เว้นจากการปฏิบัติจึงตรัสว่า ปพฺพชิโตปิ เจ โหติ เป็นต้น. |
| ในคำว่า. ปพฺพชิโตปิ เจ โหติ นี้ มีการพรรณนาเนื้อความดังต่อ |
| ไปนี้ :- |
| ก็ผู้ใดผู้หนึ่งสละเพศคฤหัสถ์ ถ้าแม้บวชด้วยการบวชไม่มีเรือนจาก |
| เรือน มีเนื้อความตามที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในตอนต้น ด้วยการเข้าถึงเหตุสักว่า |
| การปลงผมและการนุ่งผ้าย้อมฝาดเป็นต้น ถ้าหากว่าเป็นคนปากกล้า คือว่าเป็น |