| การถือปฏิสนธิและการออกจากครรภ์แห่งท่านทั้งสองนั้น ได้มีแล้ว |
| ในวันเดียวกันเช่นกัน ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อให้เด็กคนหนึ่งในบรรดาเด็กสอง |
| คนนั้นว่า อุปติสสะ เพราะเกิดในอุปติสสคาม และตั้งชื่อเด็กอีกคนหนึ่งว่า |
| โกลิตะ เพราะเกิดในโกลิตคาม ก็ในวันเดียวกันเหมือนกัน เด็กทั้งสองนั้น |
| เป็นสหายวิ่งเล่นมาด้วยกัน ถึงความเจริญโดยลำดับ สหายคนหนึ่ง ๆ มีมาณพ |
| เป็นบริวารคนละ ๕๐๐ สหายทั้งสองนั้น เมื่อจะไปสู่อุทยานก็ตาม สู่ท่าน้ำก็ |
| ตาม ย่อมไปพร้อมกับบริวารนั่นเอง สหายคนหนึ่ง (อุปติสสะ) ไปด้วยวอทอง |
| ๕๐๐ หลัง สหายคนที่สอง (โกลิตะ) ไปด้วยรถเทียมม้าอาชาไนย ๕๐๐ คัน. |
| ก็ ณ กาลครั้งนั้น ในเมืองราชคฤห์ได้มีมหรสพบนยอดเขาในกาล |
| ตามลำดับกาล (ตามเทศกาล) ในเวลาเย็น พวกชาวแคว้นอังคะและแคว้นมคธะ |
| ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคนฉลาด มีขัตติยราชกุมารเป็นต้น ได้ประชุมกัน ณ สถานที่ |
| นั้น ในท่ามกลางพระนคร ก็นั่งชมมหรสพชนิดต่าง ๆ อยู่บนสถานที่ทั้งหลาย |
| ที่ปูลาดไว้เป็นอย่างดี มีเตียงและตั่งเป็นต้น. ครั้งนั้น สหายทั้งสองเหล่านั้น |
| พร้อมกับบริวาร ก็ไปในที่นั้น แล้วนั่งบนอาสนะทั้งหลายที่ปูลาดไว้ มีเตียง |
| และตั่งเป็นต้น ชมมหรสพอยู่ได้มีความคิดว่า ยังไม่ถึงร้อยปีในระหว่างนี้ก็จัก |
| ตายดังนี้. ความตายได้มาปรากฏแก่อุปติสสะนั้นประดุจจับอยู่ที่หน้าผาก. ความ |
| คิดเช่นเดียวกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นแก่โกลิตมาณพเช่นกัน. เมื่อนักฟ้อนทั้งหลายมี |
| จำนวนมิใช่น้อยฟ้อนรำอยู่ จิตใจของสหายทั้งสองนั้นมิได้น้อมไปในเหตุแม้ |
| สักว่าจะดู โดยที่แท้ความสังเวชเท่านั้นเกิดขึ้น. |
| ลำดับนั้น เมื่อมหรสพเลิกแล้ว บริษัทหลีกไปแล้ว เมื่อสหายทั้ง |
| หลายเหล่านั้นพร้อมกับบริวารหลีกไปแล้ว โกลิตะจึงได้ถามอุปติสสะว่า เพื่อน |