๒๖๓    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๖๕
เพราะเหตุไร  ท่านไม่มีแม้สักว่าความบันเทิงในการชมฟ้อนรำเป็นต้น   เขาได้
บอกเนื้อความนั้นแก่โกลิตะนั้น     แล้วได้ถามเนื้อความแม้เช่นเดียวกันนั้น   แม้
โกลิตะนั้นก็ได้นอกความเป็นไปของตนแก่อุปติสสะนั้น    แล้วกล่าวต่อไปว่า มา
เถิดสหาย  เราจักไปบวชแล้วแสวงหาอมตธรรมกันเถิด.   อุปติสสะตอบรับว่า
ดีแล้วเพื่อน   ต่อจากนั้นสหายทั้งสองได้สละสมบัตินั้นแล้ว    ได้เดินทางมาถึง
กรุงราชคฤห์โดยลำดับอีก.
         โดยสมัยนั้นแล  ปริพาชก  ชื่อว่า  สัญชัย  อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์.
สหายทั้งสองนั้น  พร้อมด้วยมาณพบริวารคนละ  ๕๐๐ บวชในสำนักของสัญชัย
นั้น  โดย ๒-๓ วันเท่านั้น    ก็เรียนจบไตรเพท  และลัทธิของปริพาชกทั้งหมด
สหายทั้งสองนั้น   เมื่อเข้าไปพิจารณาถึงเบื้องต้นและท่ามกลางและที่สุดของศา-
สตร์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่เห็นที่สุด จึงได้ถามอาจารย์ว่า  เบื้องต้นและท่ามกลาง
แห่งศาสตร์ทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏอยู่.  แต่ที่สุดไม่ปรากฏ    เพราะสิ่งที่บุคคลจะ
พึงบรรลุให้ยิ่งขึ้นด้วยคิดว่า   ตนจะพึงบรรลุสิ่งชื่อนี้ได้ด้วยศาสตร์เหล่านี้   ดังนี้
ย่อมไม่มี   แม้อาจารย์สัญชัยนั้นก็กล่าวว่า   แม้เราเองก็ไม่เห็นที่สุดแห่งศาสตร์
เหล่านี้เช่นนั้นเหมือนกัน.  สหายทั้งสองนั้นจึงพูดกันว่า  ถ้าอย่างนั้น    พวกเราจะ
แสวงหาที่สุดแห่งศาสตร์เหล่านั้น    อาจารย์จึงพูดกะพวกเขาว่า  พวกเธอพึงแสวง
หาตามสบายเถิด.  สหายทั้งสองนั้นอันอาจารย์สัญชัยนั้นอนุญาตแล้วอย่างนี้   เมื่อ
จะแสวงหาอมตธรรม  เที่ยวไปอยู่   เป็นผู้ปรากฏแล้วในชมพูทวีป ชนทั้งหลาย
มีกษัตริย์และบัณฑิตเป็นต้น     อันสหายทั้งสองเหล่านั้นถามแล้ว      ก็ตอบให้
แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นไม่ได้  แต่เมื่อชนทั้งหลายพูดว่า  อุปติสสะ  โกลิตะ  ชนเหล่าใด
ที่พูดว่า   พวกเราไม่รู้จักท่านทั้งสองนั้นเลย    ดังนี้ย่อมไม่มี    สหายทั้งสองจึง
เป็นผู้ปรากฏ  (เป็นที่รู้จักกัน )  อย่างนี้.
หน้า ๒๖๔