๒๖๙    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๗๑
         บุคคลไม่ทำให้แจ้งซึ่งธรรมแม้   ๒   อย่าง    ด้วยปัญญาของตนแล้ว
และไม่ใคร่ครวญเนื้อความแม้สักว่า   คำว่า   อนิจจัง   คำว่า   ทุกขัง   และคำว่า
อนัตตา  ในสำนักของบุคคลผู้เป็นพหูสูตทั้งหลาย  ไม่รู้อยู่เพราะความที่ตนไม่รู้
ได้ด้วยตนเอง   และชื่อว่ายังข้ามความสงสัยไม่ได้   เพราะตนยังไม่ได้พิจารณา
ใคร่ครวญ   และอาจเพื่อจะทำบุคคลอื่นให้เพ่งเล็ง   คือให้เพ่งพินิจได้อย่างไร
ดังนี้.    ในข้อนี้ผู้ศึกษาพึงระลึกถึงสุตตบท    มีอาทิอย่างนี้ว่า    ดูก่อนจุนทะ
ผู้นั้นแล  ชื่อว่า  บ่นเพ้ออยู่ด้วยตนเอง  ดังนี้.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า    ครั้นทรงกล่าวอุปมา    เพื่อกระทำเนื้อความให้
ปรากฏ  เพราะบุคคลไม่สามารถจะทำผู้อื่นให้เพ่งเล็งถึงคนพาล   ด้วยการคบคน
พาลอย่างนี้แล้ว   บัดนี้   จึงได้ตรัส  ๒ พระคาถาว่า  ยถาปิ  นาวํ  เป็นต้น   เพื่อ
จะตรัสซึ่งอุปมา  เพื่อทำเนื้อความให้ปรากฏ เพราะเป็นผู้สามารถเพื่อจะทำผู้อื่น
ให้เพ่งพินิจได้ถึงบัณฑิต   ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว   ในคำนี้ว่า  ผู้ใด
ไม่ประมาท  คบคนเช่นนั้น   ดังนี้เป็นต้น.
         ในบรรดาบทเหล่านั้น   บทว่า  ผิเยน  ได้แก่ ไม้พาย.
         บทว่า  อริตฺเตน  ได้แก่ ถ่อ  (ท่อนไม้ไผ่)
         บทว่า  ตตฺถ  ได้แก่  ในเรือนั้น.
         บทว่า   ตตฺรุปายญฺญู   ได้แก่  เป็นผู้รู้อุบาย  ด้วยการให้บรรลุถึงหน
ทาง  เพราะรู้อุบายมีการนำเรือมาและการแล่นเรือ (ใบ) ไป เป็นต้น   และชื่อว่า
เป็นผู้ฉลาด  เพราะความเป็นผู้มีสิกขาอันได้ศึกษาแล้ว  และเพราะมีความฉลาด
เป็นประมาณ  ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้   (ปัญญา)   เพราะสามารถจะกำจัดอันตราย
ที่บังเกิดขึ้นแล้วได้.
หน้า ๒๗๐