| บุคคลไม่ทำให้แจ้งซึ่งธรรมแม้ ๒ อย่าง ด้วยปัญญาของตนแล้ว |
| และไม่ใคร่ครวญเนื้อความแม้สักว่า คำว่า อนิจจัง คำว่า ทุกขัง และคำว่า |
| อนัตตา ในสำนักของบุคคลผู้เป็นพหูสูตทั้งหลาย ไม่รู้อยู่เพราะความที่ตนไม่รู้ |
| ได้ด้วยตนเอง และชื่อว่ายังข้ามความสงสัยไม่ได้ เพราะตนยังไม่ได้พิจารณา |
| ใคร่ครวญ และอาจเพื่อจะทำบุคคลอื่นให้เพ่งเล็ง คือให้เพ่งพินิจได้อย่างไร |
| ดังนี้. ในข้อนี้ผู้ศึกษาพึงระลึกถึงสุตตบท มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนจุนทะ |
| ผู้นั้นแล ชื่อว่า บ่นเพ้ออยู่ด้วยตนเอง ดังนี้. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงกล่าวอุปมา เพื่อกระทำเนื้อความให้ |
| ปรากฏ เพราะบุคคลไม่สามารถจะทำผู้อื่นให้เพ่งเล็งถึงคนพาล ด้วยการคบคน |
| พาลอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงได้ตรัส ๒ พระคาถาว่า ยถาปิ นาวํ เป็นต้น เพื่อ |
| จะตรัสซึ่งอุปมา เพื่อทำเนื้อความให้ปรากฏ เพราะเป็นผู้สามารถเพื่อจะทำผู้อื่น |
| ให้เพ่งพินิจได้ถึงบัณฑิต ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ในคำนี้ว่า ผู้ใด |
| ไม่ประมาท คบคนเช่นนั้น ดังนี้เป็นต้น. |
| ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผิเยน ได้แก่ ไม้พาย. |
| บทว่า อริตฺเตน ได้แก่ ถ่อ (ท่อนไม้ไผ่) |
| บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในเรือนั้น. |
| บทว่า ตตฺรุปายญฺญู ได้แก่ เป็นผู้รู้อุบาย ด้วยการให้บรรลุถึงหน |
| ทาง เพราะรู้อุบายมีการนำเรือมาและการแล่นเรือ (ใบ) ไป เป็นต้น และชื่อว่า |
| เป็นผู้ฉลาด เพราะความเป็นผู้มีสิกขาอันได้ศึกษาแล้ว และเพราะมีความฉลาด |
| เป็นประมาณ ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ (ปัญญา) เพราะสามารถจะกำจัดอันตราย |
| ที่บังเกิดขึ้นแล้วได้. |