| บทว่า เวทคู ได้แก่ มรรคญาณทั้งสี่ กล่าวคือการรู้. |
| บทว่า ภาวิตตฺโต ได้แก่ มีจิตอันมรรคภาวนานั้นนั่นแลอบรมแล้ว. |
| บทว่า พหุสฺสุโต ได้แก่ มีนัยอันกล่าวแล้วในกาลก่อน. |
| บทว่า อเวธธมฺโม ได้แก่ เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้ง ๘ |
| เป็นสภาพ. |
| คาถาว่า โสตาวธานูปนิสูปปนฺเน ได้แก่ ได้เกิดขึ้นแล้วโดยการเงี่ย |
| โสตลงสดับ และด้วยอุปนิสัยแห่งมรรคและผลทั้งหลาย. คำที่เหลือมีเนื้อความ |
| เข้าใจง่ายทั้งนั้น แม้โยชนาในการอธิบาย ก็สามารถจะให้ทราบชัดได้โดยนัย |
| ที่กล่าวแล้วในตอนต้นนั้นแล เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องอธิบายให้พิสดาร. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอุปมามีเนื้อความ คือการกระทำความ |
| เป็นผู้สามารถ เพื่อจะให้ผู้อื่นเพ่งพินิจถึงบัณฑิตให้ปรากฏ อย่างนี้แล้ว เมื่อ |
| จะทรงประกอบไว้ด้วยการคบบัณฑิตนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายนี้ว่า ตสฺมา |
| หเว ดังนี้เป็นต้น. |
| เนื้อความย่อในพระคาถาสุดท้ายนั้น มีดังต่อไปนี้ :- |
| เพราะเหตุที่ชนทั้งหลาย ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ย่อมบรรลุคุณวิเศษ |
| ได้ด้วยการคบบัณฑิต ฉะนั้นแล บุคคลพึงคบสัตบุรุษ. ถามว่า คบสัตบุรุษ |
| เช่นไร. ตอบว่า บุคคลพึงคบสัตบุรุษผู้มีปัญญาด้วย ผู้เป็นพหุสูตด้วย คือว่า |
| ผู้มีปัญญา ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัญญา และผู้เป็นพหูสูตด้วยมีสุตะทั้งสอง |
| ประการตามที่กล่าวแล้ว เพราะบุคคลนั้นเมื่อคบผู้มีปัญญาเช่นนั้นอยู่ รู้แล้ว |
| ซึ่งธรรมที่ผู้นั้นกล่าวแล้ว และทราบแล้วซึ่งอรรถ (ผล) อย่างนี้ ปฏิบัติ |