| บาทพระคาถาว่า นโร สมฺมา นิวิฏฺสฺส ความว่า นระเป็นผู้ยินดี |
| แล้ว คือว่า พึงเป็นผู้ดำรงอยู่แล้วโดยชอบในพระศาสนา. |
| บาทพระคาถาว่า อุตฺตมตฺถญฺจ ปาปุเณ มีคำอธิบายว่า และพึง |
| บรรลุพระอรหัต อันเป็นประโยชน์สูงสุดกว่าประโยชน์ทั้งปวง. |
| ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรำพึงอยู่ว่า สารีบุตรบวชแล้ว |
| ได้กึ่งเดือน ก็บรรลุสาวกบารมีญาณ เพราะเหตุไรจึงถามปุถุชนปัญหาอันเป็น |
| อาทิกัมมิกะจึงทรงทราบว่า พระสารบุตรทูลถามปรารภ สัทธิวิหาริก จึงไม่ได้ |
| ทรงจำแนกจารีตศีล ที่พระสารีบุตรกล่าวด้วยคำถามเลย เมื่อจะทรงแสดง |
| ธรรมด้วยสามารถสัปปายะแก่ภิกษุนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า วุฑฺฒาปจายี ดัง |
| นี้เป็นต้น วุฑฒบุคคล ทั้งหลายในคำว่า วุฑฺฒาปจายี นั้นมี ๔ จำพวก |
| คือ ปัญญาวุฑฒบุคคล ๑ คุณวุฑฒบุคคล ๑ ชาติวุฑบุคคล ๑ วุฑฒ- |
| บุคคล ๑. |
| จริงอยู่ ภิกษุที่เป็นพหูสูต แม้โดยกำเนิดจะเป็นคนหนุ่มก็ตาม ก็ชื่อ |
| ว่า ปัญญาวุฑฒะได้ เพราะเป็นผู้เจริญแล้ว ด้วยปัญญา คือ พาหุสัจจะใน |
| สำนัก (ในระหว่าง) แห่งภิกษุเเก่ผู้มีการศึกษาน้อยทั้งหลาย ด้วยว่าแม้ภิกษุแก่ |
| ทั้งหลายเรียนอยู่ซึ่งพุทธวจนะ ในสำนักของภิกษุหนุ่มนั้น และหวังอยู่ซึ่ง |
| โอวาท การวินิจฉัยความ และการแก้ปัญหาทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุหนึ่งที่ถึง |
| พร้อมด้วยอธิคม (บรรลุคุณวิเศษมีฌานและมรรคผลเป็นต้น ) ชื่อว่า คุณ |
| วุฑฒะ ผู้เจริญโดยคุณ ด้วยว่าแม้ภิกษุแก่ทั้งหลาย ดำรงอยู่ในโอวาทของ |
| ภิกษุหนุ่มนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมบรรลุอรหัตผลได้. |