| สองบทว่า ธมฺมึ กถํ ได้แก่ ประกอบด้วยสมถะและวิปัสสนา |
| บทว่า เอรยิตํ คือ กล่าวแล้ว. |
| บทว่า ขณญฺญู ได้แก่ รู้อยู่ว่า บุคลลผู้รู้ขณะแห่งถ้อยคำนั้น เป็น |
| บุคคลหาได้ยาก หรือว่า นี้เป็นขณะแห่งการฟังซึ่งถ้อยคำเช่นนี้. |
| สองบทว่า สุเณยฺย สกฺกจฺจํ ได้แก่ พึงพึงถ้อยคำนั้นโดยเคารพ. |
| อธิบายว่าบุคคลจะพึงฟังถ้อยคำนั้นอย่างเดียวก็หามิได้ แม้ถ้อยคำอื่นเป็นสุภาษิต |
| อันปฏิสังยุตด้วยพุทธคุณเป็นต้น บุคคลก็พึงฟังโดยเคารพเช่นกัน. |
| ในบาทคาถาว่า กาลญฺญู จสฺส ครูนํ ทสฺสนาย นี้ มีวินิจฉัย |
| ดังต่อไปนี้. |
| ภิกษุแม้ทราบนัยที่ท่านกล่าวไว้ในคำนี้ว่า กาลญฺญู จสฺส ครูนํ |
| ทสฺสนาย และทราบการบรรเทาราคะเป็นต้น ที่บังเกิดขึ้นแล้วแก่ตน เมื่อไปสู่ |
| สำนักของครูทั้งหลาย ก็พึงไปสู่สำนักของครูทั้งหลายโดยกาลอันสมควร โดย |
| กระทำไว้ในใจว่า เราจักบำเพ็ญกรรมฐาน และจักเป็นผู้รักษาธุดงค์ มิใช่เห็น |
| อาจารย์ยืนอยู่แล้ว ณ ถามที่ใดที่หนึ่งในบรรดาที่ทั้งหลาย มีที่ไหว้พระเจดีย์ |
| ที่ลานต้นโพธิ์ ทางเที่ยวบิณฑบาต และเวลาเที่ยงตรงเป็นต้น แล้วพึงเข้าไป |
| เพื่อถามปัญหา แต่พึงกำหนดอาจารย์ผู้นั่งอยู่แล้วบนอาสนะของตนในเสนา- |
| สนะของตน ซึ่งมีความกระวนกระวายอันสงบเเล้ว เข้าไปหาเพื่อถามวิธีแห่ง |
| กรรมฐานเป็นต้น ก็ภิกษุแม้เมื่อเข้าไปหาอย่างนี้แล้ว ทำความหัวดื้อให้พินาศ |
| แล้ว เป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อม คือว่าทำมานะที่กระทำความแข็งกระด้างให้ |
| พินาศแล้ว มีความประพฤติถ่อมตน เป็นผู้เช่นกับผ้าเช็ดเท้า โคเขาขาด และ |