๒๗๙    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๘๑
         บุคคลชื่อว่าตั้งอยู่แล้วในธรรม   ก็เพราะปฏิบัติธรรม   บุคคลย่อมรู้ซึ่ง
การวินิจฉัยธรรมว่านี้เป็นอุทยญาณ  นี้เป็นวยญาณ   เพราะเหตุนั้น  บุคคลนี้จึง
ชื่อว่า   ธมฺมวินิจฺฉยญฺญู    ผู้รู้ซึ่งการวินิจฉัยธรรม.   บุคคลพึงเป็นบุคคลเห็น
ปานนี้   เมื่อเป็นบุคคลเช่นนี้ได้แล้ว  ดิรัจฉานกถามีการพูดถึงพระราชาเป็นต้น
นี้ใด  มีอยู่   คำที่เป็นดิรัจฉานกถานั้นย่อมประทุษร้ายต่อธรรม   คือสมถะและ
วิปัสสนา  เพราะให้เกิดความยินดีในรูปเป็นต้นในภายนอกแก่ตรุณวิปัสสกบุคคล
ฉะนั้น   ดิรัจฉานกถานั้นท่านจึงเรียกว่า   วาทะที่เป็นอันตรายต่อธรรม  บุคคล
ไม่พึงประพฤติวาทะที่ทำอันตรายต่อธรรมนั้นเลย     โดยที่แท้เมื่อจะซ่องเสพ
สัปปายะทั้งหลาย   มีอาวาสสัปปายะ    และโคจรสัปปายะเป็นต้น  ก็พึงแนะนำ
ด้วยคำที่เป็นสุภาษิตที่แท้จริง   วาจาทั้งหลายที่ปฏิสังยุตด้วยสมถะ   และ
วิปัสสนา   ชื่อว่า   วาจาที่แท้จริงในพระคาถานี้.   บุคคลพึงแน่ะนำคือว่า
พึงชักนำ   ได้แก่  พึงยังกาลเวลาให้สิ้นไป   ด้วยคำที่เป็นสุภาษิตทั้งหลายเห็น
ปานนั้น.
         บัดนี้  พระผู้มีพระภาคเจ้า  เมื่อทรงกระทำอุปกิเลสให้ปรากฏแก่ภิกษุผู้
เจริญสมถะและวิปัสสนา   ซึ่งพระองค์ตรัสไว้โดยย่ออย่างยิ่งในคำนี้ว่า     ธมฺม-
สนฺโทสวาทํ  ดังนี้  จึงตรัสพระคาถานี้ว่า   หสฺสํ  จ  ชปฺปํ  พร้อมกับอุปกิเลส
แม้อื่นจากนั้น.
         พระบาลีว่า  หาสํ  ดังนี้ก็มี.
         ก็ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา   พึงการทำสักว่าความยิ้มแย้มเท่านั้นในเรื่องที่
ควรหรรษา  ไม่พึงพูดคำกระซิบที่ไร้ประโยชน์  ไม่พึงกระทำการคร่ำครวญใน
หน้า ๒๘๐