๒๘๐    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๘๒
การฉิบหายแห่งญาติเป็นต้น      ไม่พึงกระทำความฉุนเฉียวให้เกิดขึ้นแม้ในเมื่อ
ถูกตอและหนามตำเป็นต้น.
         บุคคลควรละโทษเหล่านี้   คือ   มายาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน
คำว่า  มายากตํ ๑  ความหลอกลวง ๓ อย่าง  ๑  ความพอใจในปัจจัยทั้งหลาย ๑
การถือตัวด้วยชาติกำเนิดเป็นต้น  ๑ ความแข่งดีกล่าวคือความยินดีที่เป็นข้าศึก ๑
ความหยาบคายอันมีการพูดหยาบเป็นลักษณะ  ๑   ธรรมที่ประดุจน้ำย้อมฝาด
ทั้งหลายมีราคะเป็นต้น  ๑   ความหมกมุ่น (ลุ่มหลง) อันมีความอยากเกินประ-
มาณเป็นลักษณะ  ๑   การทำให้เห็นว่าโทษเหล่านี้ (อันบุคคลพึงละเสีย) ประ
ดุจผู้ต้องการความสุขละหลุมถ่านเพลิง  ประดุจคนรักความสะอาด  หลีกที่  ๆมี
คูถเสียฉะนั้น    และประดุจผู้รักชีวิต  หลีกสัตว์ร้ายทั้งหลายมีอสรพิษเป็นต้นเสีย
ฉะนั้น.   ก็ครั้นละแล้วเป็นผู้บรรเทาความมัวเมาได้แล้ว   เพราะขจัดความมัวเมา
ในความไม่มีโรคเป็นต้น     ชื่อว่ามีตนดำรงมั่นแล้ว     เพราะไม่มีความฟุ้งซ่าน
แห่งจิต    พึงประพฤติ.  ก็บุคคลนั้น   ครั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้  จะพึงบรรลุพระ
อรหัตด้วยภาวนาอันบริสุทธิ์   จากอุปกิเลสทั้งปวงต่อกาลไม่นานเลย  เพราะเหตุ
นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  หสฺสํ  จ  ชปฺปํ   ฯเปฯ  €ิตตฺโต     ดังนี้.
         ภิกษุประกอบด้วยอุปกิเลสซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้     โดยนัยว่า
หสฺสํ  ชปฺปํ   เป็นต้น  เพราะเป็นผู้ผลุนผลัน   จึงชื่อว่าเป็นผู้ไม่พิจารณาเสีย
ก่อนแล้วกระทำ  และกำหนัดแล้วด้วยอำนาจราคะ    ประทุษร้ายแล้วด้วยอำนาจ
โทสะไปอยู่  ชื่อว่าเป็นผู้ประมาทแล้ว.  โอวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดย
นัยว่า  บุคคลไม่กระทำให้ติดต่อในการเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย   และบุคคลพึง
หน้า ๒๘๑