๒๘๒    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๘๔
         พระผู้มีพระภาคเจ้า   ครั้นทรงแสดงความเสื่อมแห่งปัญญา   และความ
เสื่อมแห่งสุตะของชนทั้งหลาย     ผู้ประมาทอย่างนี้แล้ว     บัดนี้เมื่อจะแสดงการ
บรรลุสาระทั้งสองประการนั้น    แห่งบุคคลผู้ไม่ประมาทแล้วทั้งหลายจึงตรัสว่า
ธมฺเม  จ  เย  ฯเปฯ  สารมชฺฌคู  ดังนี้.
        ในบรรดาคำเหล่านั้น     ธรรมคือสมถะและวิปัสสนา  ชื่อว่า  ธรรม  ที่
พระอริยเจ้าประกาศแล้ว  จริงอยู่พระพุทธเจ้าแม้สักพระองค์หนึ่ง  ไม่ทรงแสดง
ธรรม  คือ สมถะและวิปัสสนาแล้ว  ชื่อว่าปรินิพพานย่อมไม่มี.   เพราะเหตุนั้น
นรชนเหล่าใดยินดีแล้วในธรรมนี้แล ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว  นรชนเหล่านั้น
เป็นผู้มีความยินดีออกแล้ว    จัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาท   เป็นผู้มีความเพียรติดต่อ
จึงเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เหลือ    ด้วยวาจา   ด้วยใจ   และด้วยกาย
คือว่า นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ ได้แก่ไม่มีใครเสมอเหมือน  คือเป็นผู้เลิศ
เป็นผู้ประเสริฐที่สุด    กว่าสัตว์ที่เหลือทั้งหลาย ด้วยวาจา  ด้วยใจ  และด้วยกาย
เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยวจีสุจริต  ๔   มโนสุจริต  ๓   กายสุจริต ๓   ด้วยคำมี
ประมาณเท่านี้      พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงศีล    อันสัมปยุตด้วยอริยมรรค
ซึ่งมีศีลเป็นเบื้องต้น     นรชนเหล่านั้นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วอย่างนี้    ดำรงอยู่แล้ว
ในสันติ   โสรัจจะ  และสมาธิ  จึงชื่อว่าเป็นผู้บรรลุ  สาระธรรมแห่งสุตะ  และ
ปัญญา   นรชนเหล่าใดยินดีแล้วในธรรม   ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว    นรชน
เหล่านั้นจะเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ที่เหลือทั้งหลาย  ด้วยวาจาเป็นต้น  อย่างเดียว
ก็หามิได้  แต่โดยที่แท้แล   บัณฑิตพึงทราบว่า  เป็นผู้ดำรงอยู่แล้วในสันติและ
โสรัจจะ   และในสมาธิ  คือว่า  เป็นผู้บรรลุแล้วซึ่งสารธรรม   คือว่า    เป็นผู้
หน้า ๒๘๓