๒๙๑    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๙๓
แห่งการบำเพ็ญสมณธรรม   ของท่านทั้งหลายนี้   อย่าได้ผ่านไปเสีย,  เพราะว่า
ขณะเห็นปานนี้นี่แหละ    ของชนทั้งหลายเหล่าใดผ่านพ้นไป   และชนทั้งหลาย
เหล่าใดผ่านพ้นขณะนี้ไปเสีย     ชนทั้งหลายเหล่านั้นคือผู้ล่วงขณะไปเสียนั้นแล
ยัดเยียดกันอยู่ในนรก  ย่อมเศร้าโศก   คือว่าดำรงอยู่ในอบายแม้ทั้ง ๔ ที่รู้กัน
ว่านรก   เพราะอรรถว่าหาความสุขใจมิได้.   ย่อมเศร้าโศกโดยนัยว่า   กรรมดี
พวกเรามิได้ทำไว้เลย  ดังนี้เป็นต้น.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงให้ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นอุตสาหะ และสลดใจ
อย่างนี้แล้ว   บัดนี้    เมื่อจะทรงติเตียนการที่ภิกษุเหล่านั้นอยู่ด้วยความประมาท
นั้น     แล้วให้ภิกษุเหล่านั้นทุกรูปเทียว   ดำรงอยู่ในความไม่ประมาท  จึงตรัส
พระคาถานี้ว่า  ปมาโท  รโช  ดังนี้เป็นต้น.
         โดยสังเขป  ความอยู่ปราศจากสติ  ชื่อว่า   ความประมาทในคาถานี้
ความประมาทนั้น      ชื่อว่าเป็นธุลี   เพราะอรรถว่าเป็นมลทินของจิต     ธุลีนั้น
ติดตามซึ่งความประมาทนั้น   ความผิดซึ่งติดตามความประมาท   เกิดขึ้นเพราะ
ความประมาทติดตามมาก็คือความประมาทนั้นเอง  ความประมาทแม้นั้น  ชื่อว่า
เป็น   ธุลี  ด้วยว่าแต่ไหนแต่ไรมา    ชื่อว่า   ความประมาทที่ไม่เป็นธุลีไม่มีเลย.
         ถามว่า     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอรรถอะไรไว้     ด้วยบทว่า
ปมาโท  นั้น.
         ตอบว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอรรถไว้ว่า   ท่านทั้งหลายอย่า
ได้ถึงความวางใจว่า   ขณะนี้พวกเรายังหนุ่มสาวอยู่ก่อน  พวกเราจักรู้ได้ในภาย
หลังเพราะว่า  ความประมาทแม้ในเวลาเป็นหนุ่มสาว  ก็จัดว่าเป็น   ธุลี  ความ
ประมาทในวัยกลางคนก็มี   ในวัยแก่ก็มี   จัดว่าเป็น  ธุลีใหญ่   เพราะติดตาม
ความประมาท  จึงจัดว่าเป็นกองหยากเยื่อทีเดียว    เหมือนกับธุลีที่มีอยู่วันหนึ่ง
หน้า ๒๙๒