๒๙๒    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๒๙๔
หรือ ๒ วันในเรือน  ก็จัดว่าเป็นธุลีอยู่นั้นเอง   แต่ธุลีนั้นเมื่อเพิ่มขึ้น   เก็บไว้
ถึง ๑ ปี  ก็จัดเป็นกองหยากเยื่อทีเดียว   แต่แม้เมื่อเป็นเช่นนี้    เมื่อภิกษุเรียน
พุทธพจน์ในปฐมวัย  แล้วเจริญสมณธรรมในมัชฌิมวัยและปัจฉิมวัยอยู่   หรือ
ว่า  ภิกษุเรียนพุทธพจน์ในปฐมวัยแล้วสดับตรับฟัง  (เพิ่มเติม)  ในมัชฌิมวัย
แม้กระทำสมณธรรมอยู่ในปัจฉิมวัย  ก็ยังไม่จัดว่าอยู่ด้วยความไม่ประมาท  แต่
ว่าภิกษุใดอยู่ด้วยความประมาทในวัยทั้งปวง ทั้งนอนตลอดวัน   และประกอบคำ
เพื่อได้อามิส  เช่นอย่างท่านทั้งหลายอยู่   ความประมาทในปฐมวัยนั้นของภิกษุ
นั้นนั่นแล   จัดว่าเป็นธุลี  และความประมาทใหญ่   ซึ่งติดตามความประมาท
ในวัยนอกนี้  จัดว่าเป็นธุลีกองใหญ่ทีเดียว.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า  ครั้นทรงติเตียนการที่ภิกษุเหล่านั้น    อยู่ด้วยความ
ประมาทอย่างนี้   เมื่อจะทรงชักชวนในความไม่ประมาทจึงตรัสว่า   อปฺปมาเทน
วิชฺชาย  อพฺพุฬฺเห  สลฺลมตฺตโน  ดังนี้.
         เนื้อความแห่งสองบาทพระคาถามนี้        พระผู้มีพระภาคทรงยังพระ-
เทศนาให้จบลง    ด้วยอดคือพระอรหัตว่า    ความประมาทแม้ในกาลทั้งปวงนี้
ชื่อว่าเป็นธุลีอย่างนี้.  กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตพึงถอนลูกศร  ๕  อย่าง มีราคะเป็น
ต้น   ที่อาศัยหทัยของตนด้วยความไม่ประมาท  กล่าวคือการอยู่โดยไม่ปราศจาก
สติ  และด้วยวิชชา  กล่าวคือ  อาสวักยญาณ.
         ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนา   ภิกษุเหล่านั้นแม้  ๕๐๐  รูป   ถึงความ
สังเวช  กระทำไว้ในใจซึ่งพระธรรมเทศนานั้นนั่นแล  พิจารณาอยู่   เริ่มเจริญ
วิปัสสนาแล้วดำรงอยู่ในพระอรหัต   ดังนี้แล.
  จบการพรรณนาเนื้อความแห่งอุฏฐานสูตร  แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
                                        ชื่อปรมัตถโชติกา
หน้า ๒๙๓