๓๐๒    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๐๔
         บาทพระคาถาว่า  เอกคฺคํ  สุสมาหิตํ   ความว่า  จิตเช่นนี้ของท่าน
จะเป็นจิตที่มีอารมณ์เดียวได้  โดยอุปจารสมาธิ (และ) จะเป็นจิตตั้งมั่นได้ด้วย
อัปปนาภูมิแห่งจิตนั้นอย่างนี้แล้ว    เมื่อจะแสดงวิปัสสนาจึงตรัสว่า    อนมิตฺตํ
เป็นต้น
         บรรดาบทเหล่านี้   บาทพระคาถาว่า  อนิมิตฺตญฺจ  ภาเวหิ  อธิบายว่า
ท่านผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยสรมาธิ  อัน เป็นส่วนแห่งการแทงตลอดอย่างนี้  จงเจริญ
วิปัสสนา  จริงอยู่  วิปัสสนาย่อมได้โวหาร  (การเรียก)  ว่า  อนิมิตฺตํ  เพราะ
ไม่ถือเอาซึ่งนิมิตทั้งหลายมีราคนิมิตเป็นต้น    โดยนัยว่า   อนิจจานุปัสสนาญาณ
ย่อมพันจากนิมิต  (การกำหนดหมาย) ว่าเที่ยง  จึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์  เหมือน
อย่างที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวได้ว่า  ดูก่อนอาวุโส  ข้าพเจ้านั้นแล  เข้า
เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตอยู่     เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนิมิตทั้งปวง    ดูก่อนอาวุโส
เมื่อข้าพเจ้าอยู่    อยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่นี้   อนิมิตตานุสารีวิญญาณ   ย่อมมีได้
ดังนี้.
         บาทพระคาถาว่า  มานานุสยมุชฺชห ความว่า เธอจะละ   ได้แก่จงสละ
คือจงสลัดทิ้งเสีย    ซึ่งมานานุสัยโดยลำดับ    เป็นต้นอย่างนี้ว่า    ดูก่อหเมฆิยะ
เมื่อบุคคลได้อนิมิตตสัญญา   ด้วยการเจริญ   อนิมิตตภาวนานี้  แล้วเป็นผู้มีความ
สำคัญว่าไม่เทียง   อนัตตา  ก็ย่อมดำรงมั่นได้  ผู้มีความสำคัญว่าไม่ใช่ตน  ย่อม
บรรลุถึงการถอนเสียได้ซึ่งอัสมิมานะ  ดังนี้.
         สองบาทพระคาถาว่า  ตโต  มานาภิสมยา  อุปสนฺโต      จริสฺสสิ
ความว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระเทศนาจบลง  ด้วยอดคือพระอรหัตว่า
๑. สัง. สฬายตนะ ๑๙/ ข้อ ๕๒๓ ๒. อัง. นวก. ๒๗/ ข้อ ๒๐๗.(ตอนสุดท้าย)
หน้า ๓๐๓