| บาทพระคาถาว่า เอกคฺคํ สุสมาหิตํ ความว่า จิตเช่นนี้ของท่าน |
| จะเป็นจิตที่มีอารมณ์เดียวได้ โดยอุปจารสมาธิ (และ) จะเป็นจิตตั้งมั่นได้ด้วย |
| อัปปนาภูมิแห่งจิตนั้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงวิปัสสนาจึงตรัสว่า อนมิตฺตํ |
| เป็นต้น |
| บรรดาบทเหล่านี้ บาทพระคาถาว่า อนิมิตฺตญฺจ ภาเวหิ อธิบายว่า |
| ท่านผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยสรมาธิ อัน เป็นส่วนแห่งการแทงตลอดอย่างนี้ จงเจริญ |
| วิปัสสนา จริงอยู่ วิปัสสนาย่อมได้โวหาร (การเรียก) ว่า อนิมิตฺตํ เพราะ |
| ไม่ถือเอาซึ่งนิมิตทั้งหลายมีราคนิมิตเป็นต้น โดยนัยว่า อนิจจานุปัสสนาญาณ |
| ย่อมพันจากนิมิต (การกำหนดหมาย) ว่าเที่ยง จึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ เหมือน |
| อย่างที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวได้ว่า ดูก่อนอาวุโส ข้าพเจ้านั้นแล เข้า |
| เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตอยู่ เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนิมิตทั้งปวง ดูก่อนอาวุโส |
| เมื่อข้าพเจ้าอยู่ อยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่นี้ อนิมิตตานุสารีวิญญาณ ย่อมมีได้ |
| ดังนี้.๑ |
| บาทพระคาถาว่า มานานุสยมุชฺชห ความว่า เธอจะละ ได้แก่จงสละ |
| คือจงสลัดทิ้งเสีย ซึ่งมานานุสัยโดยลำดับ เป็นต้นอย่างนี้ว่า ดูก่อหเมฆิยะ |
| เมื่อบุคคลได้อนิมิตตสัญญา ด้วยการเจริญ อนิมิตตภาวนานี้ แล้วเป็นผู้มีความ |
| สำคัญว่าไม่เทียง อนัตตา ก็ย่อมดำรงมั่นได้ ผู้มีความสำคัญว่าไม่ใช่ตน ย่อม |
| บรรลุถึงการถอนเสียได้ซึ่งอัสมิมานะ ดังนี้.๒ |
| สองบาทพระคาถาว่า ตโต มานาภิสมยา อุปสนฺโต จริสฺสสิ |
| ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระเทศนาจบลง ด้วยอดคือพระอรหัตว่า |
|