| ถามว่า เพราะเหตุไร จึงเกิดปริวิตกขึ้น. |
| ตอบว่า เพราะพระอุปัชฌาย์นั้นไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า และเพราะพระ |
| อุปัชฌาย์นั้นอันท่านเห็นแล้ว และมีการคุ้นเคย จริงอยู่ในเวลาที่พระนิโครธ- |
| กัปปะนั้นปรินิพพาน พระวังคีสะนี้ ไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า แต่การคุ้นเคยใน |
| กาลก่อน มีการรำคาญมือเป็นต้นของพระเถระนั้น เป็นผู้ที่พระวังคีสะนั้นเคย |
| เห็นมาแล้ว และการประพฤติเช่นนั้น ก็ย่อมมีได้ทั้งแก่ผู้ที่มิใช่ขีณาสพ ทั้ง |
| แก่พระขีณาสพทั้งหลาย โดยความประพฤติในกาลก่อน จริงอย่างนั้น พระ- |
| ปิณโฑลภารทวาชะ ไปสู่อุทยานของพระเจ้าอุเทนเท่านั้น เพื่อประโยชน์ |
| แก่การอยู่ในกลางวัน (พักผ่อน) ในภายหลังภัต ด้วยความประพฤติในกาล |
| ก่อนนี้คือ ในกาลก่อนท่านเป็นพระราชา ได้ปฏิบัติอยู่ในที่นั้น พระควัมปติ |
| เถระไปยังเทววินานว่างในดาวดึงส์ภพ ด้วยความประพฤติในกาลก่อนนี้ คือ |
| ท่านเป็นเทวบุตรปฏิบัติอยู่ในเทววิมานนั้น. |
| ภิกษุชื่อว่า ปิลินทวัจฉะ เรียกผู้อื่นว่า คนถ่อย ด้วยความประพฤติ |
| ในกาลก่อนนี้คือ ท่านเป็นพราหมณ์อยู่ ๕๐๐ ชาติ ไม่มีกำเนิดอื่นปนเลย |
| ได้กล่าวกะผู้อื่นเหมือนอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ความปริวิตกแห่งใจจึงได้บังเกิด |
| ขึ้นแก่พระวังคีสะนั้น เพราะท่านมิได้อยู่เฉพาะหน้า เพราะท่านไม่เคยเห็น |
| และคุ้นเคยอย่างนี้ว่า อุปัชฌาย์ของเรานิพพานแล้วหรือว่ายังไม่นิพพาน |
| ข้อความต่อจากนั้นมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น. |
| ก็ในคำว่า เอกํสํ จีวรํ กตฺวา นี้ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ ก็เพื่อทำ |
| จีวรให้แน่น (รัดกุม) บ่อย ๆ. |