๓๒๐    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๒๒
เหมือนสุวรรณหงส์ไปสู่ที่หากิน     ได้พบสระที่เกิดเองและราวป่า    จึงโก่งคอ
เมื่อจะไม่รีบร้อน จึงค่อย ๆ เปล่งเสียง  ด้วยจะงอยปากสีแดง  คือร้องด้วยเสียง
อันไพเราะฉันใด   แม้พระองค์เองก็ฉันนั้นเหมือนกัน    ทรงค่อย ๆ   เปล่งด้วย
พระสุรเสียงอันไพเราะ   อันเป็นมหาปุริสลักษณะอย่างหนึ่งนี้    ที่พระองค์ทรง
กำหนดไว้ดีแล้ว      ได้แก่ที่พระองค์กำหนดตกแต่งไว้ด้วยดี     ข้าพระองค์แม้
ทั้งปวงเหล่านี้แล     เป็นผู้ตรงคือเป็นผู้ไม่มีใจฟุ้งซ่าน    จักสดับพระสุรเสียงที่
พระองค์ทรงเปล่งแล้ว.
         พระวังคีสะ   เมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล   เมื่อจะยังความ
เป็นผู้ใคร่ที่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล  จึงกล่าวคาถาแม้นี้ว่า  ปหีน-
ชาติมรณํ  ดังนี้เป็นต้น   พึงทราบวิเคราะห์ในคำว่า  อเสสํ  นั้นว่า  บาปใด
ย่อมไม่เหลืออยู่    เหตุนั้นบาปนั้น  ชื่อว่า  อเสสะ  ซึ่งพระองค์ผู้ทรงกำจัดบาป
อันไม่มีส่วนเหลือนั้น   มีคำอธิบายว่า  ดังพระอริยเจ้ามีพระโสดาบัน  เป็นต้น
ผู้ซึ่งละชาติและมรณะได้  ไม่มีอะไรเหลือ  ฉะนั้น
         บทว่า  นิคฺคยฺห  ได้แก่   ขอร้องด้วยดีแล้ว  กล่าวคือรบเร้าแล้ว.
         บทว่า   โธนํ  ได้เเก่  ผู้มีบาปธรรมทั้งปวงอันกำจัดแล้ว.
         บทว่า วาเทสฺสามิ  ได้แก่ข้าพระองค์จะขอให้พระองค์ตรัสพระธรรม.
         บาทพระคาถาว่า น  กามกาโร หิ  ปุถุชฺชนานํ  ความว่า  ด้วยว่าการ
กระทำความใคร่  ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนทั้งหลายเท่านั้น   อธิบายว่า ปุถุชนปรารถนา
จะทราบหรือจะกล่าวสิ่งใด   ก็ไม่อาจที่จะทราบหรือจะกล่าวสิ่งนั้น  ได้ทั้งหมด.
         บาทพระคาถาว่า   สงฺเขยฺยกาโร  จ   ตถาคตานํ  ความว่า  ส่วนการ
กระทำการพิจารณา  คือว่า  การกระทำที่มีปัญญาเป็นสภาพถึงก่อน   ย่อมมีแก่
หน้า ๓๒๑