๓๒๑    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๒๓
พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย   อธิบายว่า  พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น  ย่อมทรง
ปรารถนาจะทรงทราบ    หรือตรัสสิ่งใด    ก็สามารถทราบหรือตรัสสิ่งนั้นได้
(ทั้งหมด).
         บัดนี้   พระวังคีสะเมื่อจะประกาศ  ซึ่งการกระทำการพิจารณานั้น    จึง
กล่าวคาถานี้ว่า   สมฺปนฺนเวยฺยากรณํ  ดังนี้เป็นต้น.
         เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า   ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า   จริงอย่างนั้น
ไวยากรณ์อันสมบูรณ์มีอันเป็นไปที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว     อันพระองค์ผู้มี
พระปัญญารุ่งเรือง   ทรงเรียนมาดีแล้วในที่นั้น  ๆ  นี้ไม่ผิด   อันชนทั้งหลาย
เห็นแล้วในพระดำรัสทั้งหลาย   ที่พระดำรัสอย่างนี้ว่า    สันตติมหาอำมาตย์เหาะ
ขึ้นสู่อากาศ  ชั่วระยะ ๗  ลำตาลแล้วจักปรินิพพาน   และว่า  สุปปพุทธศากยะ
จักถูกแผ่นดินสูบในวันที่ ๗  ดังนี้.  ก็ต่อจากนั้นพระวังคีสะประนมอัญชลีให้ดี
ยิ่งขึ้น   แล้วทูลว่า    อัญชลีครั้งหลังนี้     อันข้าพระองค์ประณมดีแล้ว     คือว่า
อัญชลีแม้อีกครั้งหนึ่งนี้    อันข้าพระองค์ประนมดีแล้ว    ดียิ่งขึ้น.
         บทว่า  มา   โมหยิ  ความว่า  พระองค์เมื่อทรงทราบอยู่    คือทรงรู้
อยู่ซึ่งคติกำเนิดของพระเถระชื่อว่ากัปปะ   ก็อย่าทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหลง
อยู่ด้วยการไม่ตรัสตอบเลย     พระวังคีสะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า     ด้วยคำว่า
อโนมปัญญา  ผู้มีปัญญาไม่ทราบ.
         ก็พระวังคีสะเมื่อจะทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า   ถึงการไม่หลงนั้นแหละ
ปริยายแม้อื่น  จึงกล่าวคาถานี้ว่า   ปโรวรํ   ดังนี้เป็นต้น.
หน้า ๓๒๒