| ทราบความที่พระกัปปายนเถระปรินิพพาน คือว่า ขอพระองค์อย่าได้ตรัส |
| ให้ผิด. คำที่เหลือในคาถานี้ปรากฏแล้ว. |
| ในคาถาที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- |
| เพราะเหตุที่สาวกของพระพุทธเจ้า มุ่งหวังการหลุดพ้นอยู่แล้ว ฉะนั้น |
| พระวังคีสเถระกล่าวหมายเอาเนื้อความนั้นว่า สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้กล่าว |
| อย่างใด ก็ทำอย่างนั้น. |
| บาทพระคาถาว่า มจฺจุโน ชาลํ ตนฺตํ ได้แก่ ข่ายคือตัณหาของมาร |
| ที่แผ่กว้างออกไปเเล้วในวัฏฏะอันประกอบด้วยภูมิ ๓ นั้น. |
| บทว่า มายาวิโน ได้แก่ ผู้มีมายามาก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า |
| ผู้มีมายาเหมือนอย่างนั้น ดังนี้ก็มี อธิบายของอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า |
| มารใดเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้หลายครั้งนับไม่ถ้วน ด้วยมายาทั้งหลาย |
| เป็นอเนกของมารนั้น คือ ผู้มีมายาเหมือนมารนั้น. |
| ในคาถาที่ ๓ มีวินิจฉัย ดังนี้ :- |
| บทว่า อาทิ ได้แก่ เหตุ. บทว่า อุปาทานสฺส ได้แก่ แห่งวัฏฏะ. |
| จริงอยู่ วัฏฏะ ท่านกล่าวว่า เป็นอุปาทานในที่นี้ เพราะอรรถว่าอันสัตว์พึง |
| ยึดมั่น. |
| พระวังคีสเถระ ย่อมกล่าวด้วยประสงค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าควรจะตรัสอย่างนี้ว่า พระกัปปเถระได้เห็นแล้วซึ่งเหตุแห่ง |
| อุปาทานนั้นนั่นแล คือว่า ซึ่งเหตุอันต่างด้วยอวิชชาและตัณหาเป็นต้น. |
| บทว่า อจฺจคา วต ได้แก่ ก้าวล่วงแล้วหนอ. |