| ลูก ๆ พึงมาตรองราชสมบัติเถิด แล้วทรงส่งไปกับอำมาตย์ ๘ คน. พระราช- |
| กุมารเหล่านั้น ได้พาพระพี่นางพระน้องนาง ออกจากพระนครพร้อมด้วย |
| จตุรงคเสนา. พวกชาวพระนครู้ว่า พระกุมารจะเสด็จมารองราชสมบัติเมื่อ |
| พระบิดาสวรรคตแล้ว จึงคิดว่า พวกเราจะติดตามไปอุปัฏฐากพระกุมารเหล่านั้น |
| ก็พากันตามเสด็จไปเป็นอันมาก. ในวันแรกได้มีหนุ่มเสนาประมาณ ๑ โยชน์ ใน |
| วันที่สองประมาณ ๒ โยชน์ ในวันที่สามประมาณ ๓ โยชน์. |
| พระราชกุมารทั้งหลายทรงดำริว่า พลนิกายมีมาก หากเราจะยกไปตี |
| พระราชาใกล้เคียงเมืองหนึ่งเมืองใด ชิงเอาบ้านเมือง ชนบททั้งหมดก็จะ |
| พ่ายแพ้เรา แต่ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติที่ได้มา เพราะเบียดเบียนผู้อื่น |
| ชมพูทวีปก็กว้างใหญ่ เราจะสร้างนครในป่า จึงพากันเสด็จบ่ายหน้าไปยังป่า |
| หิมพานต์. |
| พระราชกุมารแสวงหาที่จะสร้างพระนคร ที่ป่านั้นมีพระดาบสชื่อ |
| กปิละ มีตบะแรงกล้า อาศัยอยู่ในป่าไม้สากะใกล้ฝั่งโบกขรณี ณ ป่าหิมพานต์ |
| พระราชกุหารไปถึงที่อยู่ของดาบสนั้น. ดาบสเห็นพระราชกุมารเหล่านั้นจึงถาม |
| ครั้นทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงได้ทำการอนุเคราะห์พระราชกุมารเหล่านั้น. |
| นัยว่า พระดาบสนั้นรู้ภูมิชัยวิทยา เห็นคุณและโทษในอากาศสูงขึ้นไป |
| ได้ ๘๐ ศอก และใต้พื้นดินลงไป ๘๐ ศอก. ณ ภูมิประเทศนั้น หมูเเละเนื้อ |
| ทั้งหลายทำให้ราชสีห์และเสือเป็นต้นหวาดกลัวหนีกลับไป กบและหนูทั้งหลาย |
| ทำให้งูเกรงกลัว. ดาบสครั้นเห็นพระราชกุมารเหล่านั้น จึงทูลว่า ภูมิประเทศ |
| นี้ เป็นพื้นปฐพีอันล้ำเลิศ จึงให้สร้าง พระนคร ณ ที่นั้น. ครั้งนั้น พระดาบสได้ |