๓๓๔    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๓๖
ทูลพระราชกุมารว่า   หากพระองค์จะสร้างพระนครใช้ชื่อของข้าพระองค์    ข้า-
พระองค์ก็ยินดี.  พระราชกุมารทรงรับคำดาบส.   พระดาบสกล่าวว่าแม้บุตรคน
จัณฑาลสถิตอยู่ในที่นี้    ก็จะข่มขี่พระเจ้าจักรพรรดิด้วยกำลังได้    แล้วกราบทูล
ให้สร้างพระราชมณเฑียร  แล้วสร้างพระนคร  ณ  ที่ตั้งอาศรม   ครั้นดาบสถวาย
ที่นั้นแล้ว     ตนเองก็สร้างอาศรมอาศัยอยู่ ณ  เชิงเขาไม่ไกลนัก.     จากนั้น
พระราชกุมารทั้งหลาย   จึงสร้างพระนคร  ณ  ที่นั้นให้จารึกชื่อว่า    กบิลพัสดุ์
เพราะกปิลดาบสประสิทธิ์ให้  แล้วเสด็จอาศัยอยู่  ณ  กรุงกบิลพัสดุ์นั้น.
         ลำดับนั้น    พวกอำมาตย์คิดว่า  พระกุมารเหล่านี้ทรงเจริญวัยแล้ว   หาก
อยู่ในสำนักของพระบิดา  ก็จะกระทำอาวาหมงคลและวิวาหมงคล  แต่บัดนี้เป็น
ภาระของพวกเรา  จึงพากัน ไปทูลปรึกษากับพระกุมาร.  พระกุมารตรัสว่า  เรา
มิได้เห็นธิดาของกษัตริย์อื่นเสมอด้วยเรา    และเราไม่เห็นขัตติยกุมารเหล่าอื่น
เสมอด้วยพระเชษฐภคินีและพระกนิษฐภคินีเหล่านั้นเลย    อนึ่งเราจะไม่ทำการ
ปะปนชาติ.   เพราะกลัวการปะปนชาติ   จึงตั้งพระเชษฐภคินีไว้ในฐานะพระ-
มารดา   แล้วอภิเษกสมรสกับพระกนิษฐภคินีเป็นคู่  ๆ กันไป.
         พระบิดาของพระราชกุมารเหล่านั้น     ครั้นทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด
แล้วทรงเปล่งอุทานว่า  สักยะ  สักยะ.  นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว  สมจริงดังที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า  ดูก่อนอัมพัฏฐะ  ครั้งนั้นแล  พระเจ้าโอกกากราช
ได้ตรัสถามที่ประชุมเหล่าอำมาตย์ว่า    บัดนี้ราชกุมารทั้งหลายพากันไปพักอยู่ที่
ไหน.  พวกอำมาตย์กราบทูลว่า   ขอเดชะ  ณ  ฝั่งโบกขรณี  ข้างหิมวันตประเทศ
มีป่าไม้สากะอยู่มาก    บัดนี้พระราชกุมารทั้งหลายพากันไปพักอยู่   ณ  ป่าไม้นั้น
หน้า ๓๓๕