๓๔๔    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๔๖
เอตรหิ  ความว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
เหล่านั้นใด     ได้มีแล้วในอดีตกาล     เทวดาทั้งหลายประมาณเท่านี้แหละได้
ประชุมกันเพื่อเห็นพระพุทธเจ้า    เพื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายพระองค์
นั้น   เหมือนเหล่าเทวดาประชุมกันเพื่อเห็นเราในบัดนี้     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใดจักมีในอนาคต  เทวดาทั้งหลาย
มีประมาณเท่านี้แหละ     จักประชุมกันเพื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เหมือนเทวดาทั้งหลายประชุมกันเพื่อเห็นเราในบัดนี้.  ลำดับนั้น   เทพบริษัทนั้น
แยกออกเป็นสองพวกทั้งที่เป็นภัพพสัตว์และอภัพพสัตว์    พวกเป็นภัพพสัตว์มี
ประมาณเท่านี้  พวกเป็นอภัพพสัตว์มีประมาณเท่านี้.  บรรดาเทพบริษัทเหล่านั้น
บริษัทที่เป็นอภัพพะแม้เมื่อพระพุทธเจ้าร้อยพระองค์ทรงแสดงธรรม     ก็ไม่
ตรัสรู้ได้   ส่วนบริษัทที่เป็นภัพพะสามารถรู้ได้    ครั้นรู้แล้วยังแบ่งภัพพบุคคล
ออกเป็นหกประเภท   ด้วยสามารถจริต   คือ   ประเภทราคจริตประมาณเท่านี้
ประเภทโทสจริต  โมหจริต  วิตักกจริต   สัทธาจริต   พุทธิจริตประมาณเท่านี้.
ครั้นกำหนดจริตอย่างนี้แล้ว  ทรงเลือกเฟ้นธรรมกถาว่า  การแสดงธรรมชนิดไร
จึงจะเป็นที่สบายแก่บริษัทนั้น  ๆ ได้ทรงใฝ่พระทัยถึงบริษัทนั้นๆ อีก ว่าบริษัท
นั้นพึงรู้ได้โดยอัธยาศัยของตนหรือหนอ      หรือพึงรู้ได้โดยอัธยาศัยของผู้อื่น
ด้วยอำนาจแห่งเรื่องเกิดขึ้น  ด้วยอำนาจคำถาม. แต่นั้นทรงทราบว่า  พึงรู้ได้ด้วย
คำถาม  ทรงรำพึงถึงบริษัททั้งสิ้นต่อไปอีกว่า   ผู้สามารถจะถามปัญหามีอยู่หรือ
ไม่มี  ครั้นทรงทราบว่าไม่มีใคร  จึงทรงดำริว่า  หากเราถามเอง  แก้เอง  ก็จะไม่
เป็นที่สบายแก่บริษัทนี้  ถ้ากระไรเราควรเนรมิตพระพุทธนิมิต  จึงทรงเข้าสมาบัติ
หน้า ๓๔๕