๓๔๕    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๔๗
มีฌานเป็นบาท  ครั้นทรงออกจากฌานแล้ว  ทรงปรับปรุงด้วยมโนมยิทธิ  ทรง
เนรมิตพระพุทธนิมิต.  พระพุทธนิมิตได้ปรากฏพร้อมด้วยจิตอธิษฐานว่า   ขอ
จงสมบูรณ์ด้วยลักษณะแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหมด   ทรงบาตรและจีวร   ถึง
พร้อมด้วยการมองดูและการเหลียวดูเป็นต้น.  พระพุทธนิมิตนั้น   เสด็จมาจาก
ปาจีนโลกธาตุประทับนั่งบนอาสนะเสมอพระผู้มีพระภาคเจ้า  พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสพระสูตร  ๖ พระสูตร  ด้วยสามารถจริตในสมาคมนี้  คือ  ปุราเภทสูตร ๑
กลหวิวาทสูตร ๑  จูฬพยูหสูตร ๑  มหาพยูหสูตร ๑   ตุวฏกสูตร ๑  และสัมมา-
ปริพพาชนิยสูตรนี้แหละ  ๑.    บรรดาสูตรเหล่านั้น     พระพุทธนิมิตเมื่อจะถาม
ปัญหาเนื้อความเป็นไปแห่งสูตรนี้     อันควรกล่าวถึงสัปปายะแห่งพวกเทวดาที่
เป็นราคจริต   จึงกล่าวคาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า  ปุจฺฉามิ  มุนึ ปหุตปญฺํ  ดังนี้.
         ในบทเหล่านั้น  บทว่า ปหุตปญฺํ  คือมีปัญญามาก.  บทว่า  ติณฺณํ
ได้แก่ ผู้ข้ามโอฆะสี่ได้แล้ว.  บทว่า  ปารคตํ  ได้แก่  ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว.
บทว่า  ปรินิพฺพุตํ  ได้แก่  ปรินิพพานแล้วด้วยสอุปาทิเสสนิพพาน.   บทว่า
€ิตตฺตํ  ได้แก่ มีจิตไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมทั้งหลาย.    บทว่า  นิกฺขมฺม
ฆรา  ปนุชุช  กาเม  ได้แก่  บรรเทาวัตถุกามทั้งหลายออกจากการครองเรือน
แล้ว.    บทว่า  กตํ   ภิกฺขุ   สมฺมา  โส  โลเก   ปริพฺพเชยฺย   ความว่า
ภิกษุนั้นพึงเว้นคือพึงไป   พึงอยู่โดยชอบในโลกอย่างไร   ท่านอธิบายว่าเป็นผู้
ไม่พัวพันด้วยโลก  ล่วงโลกไปได้.  บทที่เหลือในสูตรนี้มีนัยดังได้กล่าวไว้แล้ว
นั้นแล.
         ลำดับนั้น   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภว่า  เพราะผู้ที่ยังไม่ถึงความ
สิ้นอาสวะ จะชื่อว่าเว้นรอบโดยชอบไม่มี  ฉะนั้น    เมื่อพระองค์ทรงกำหนดประ
ชุมแห่งภัพพบุคคล   ด้วยสามารถแห่งจริตมีราคจริตเป็นต้น    ในภิกษุนั้น    จึง
หน้า ๓๔๖