๓๔๖    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๔๘
ทรงปรารภคำนั้น  ๆ  ว่า  เป็นมงคลแก่ภิกษุใด   ดังนี้   เพื่อละโทษที่หมู่เทวดา
ซึ่งมีโทษเสมอกันเหล่านั้น   ประพฤติเป็นอาจิณ   เมื่อจะทรงประกาศถึงปฏิปทา
ของพระขีณาสพด้วยยอดคือพระอรหัต  จึงได้ตรัสพระคาถา ๑๕ พระคาถา.
         ในพระคาถา ๑๕ พระคาถานั้นพึงทราบวินิจฉัย   คาถาที่  ๑   ก่อน.
         บทว่า  มงฺคลา  นี้   เป็นชื่อของทิฏฐมงคลเป็นต้นที่ท่านกล่าวไว้ใน
มงคลสูตร.  บทว่า สมูหตา ได้แก่  ถอนด้วยดีคือตัดขาดด้วยศัสตราคือปัญญา.
บทว่า  อุปฺปาทา  ได้แก่  การยึดถือความเกิดอันเป็นไปอย่างนี้ว่า  อุกกาบาต
ดาวหางเป็นต้นย่อมมีผลอย่างนี้  ๆ.   บทว่า  สุปินา ได้แก่การยึดถือความฝัน
อันเป็นไปอย่างนี้ว่า  เห็นความฝันในตอนเช้าจะมีผลอย่างนี้     เห็นความฝันใน
ตอนเที่ยงเป็นต้นจะเป็นอย่างนี้   นอนเห็นความฝันข้างซ้ายจะเป็นอย่างนี้   นอน
เห็นความฝันข้างขวาเป็นต้นจะเป็นอย่างนี้    ฝันเห็นพระจันทร์จะเป็นอย่างนี้
ฝันเห็นพระอาทิตย์เป็นต้นจะเป็นอย่างนี้   ดังนี้.    บทว่า   ลกฺขณา    ได้แก่
อ้างคัมภีร์บอกลักษณะไม้เท้าและลักษณะสิ่งของเป็นต้น    แล้วยึดถือลักษณะอัน
เป็นไปว่า  บัดนี้    จะได้รับผลอย่างนี้.   ทั้งหมดนั้นพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้ว
ในพรหมชาลสูตรนั่นแล.  บทว่า  ส  มงฺคลโทสวิปฺปหีโน  ได้แก่  มงคลอัน
เป็นโทษที่เหลือเว้นมหามงคล ๓๘  ภิกษุถอนมงคลเป็นต้นเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้
ละมงคลอันเป็นโทษ  อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ละมงคลอันเป็นโทษเพราะ
ละมงคลและโทษมีการเกิดเป็นต้น   ย่อมไม่ให้ความบริสุทธิ์ด้วยมงคลเป็นต้น
เพราะบรรลุด้วยอริยมรรคแล้ว.   เพราะฉะนั้น  ภิกษุนั้นพึงเว้นโดยชอบในโลก
คือ  ภิกษุนั้นเป็นขีณาสพ  พึงเว้นโดยชอบในโลก  ไม่พัวพันด้วยโลก.
หน้า ๓๔๗