| ทรงปรารภคำนั้น ๆ ว่า เป็นมงคลแก่ภิกษุใด ดังนี้ เพื่อละโทษที่หมู่เทวดา |
| ซึ่งมีโทษเสมอกันเหล่านั้น ประพฤติเป็นอาจิณ เมื่อจะทรงประกาศถึงปฏิปทา |
| ของพระขีณาสพด้วยยอดคือพระอรหัต จึงได้ตรัสพระคาถา ๑๕ พระคาถา. |
| ในพระคาถา ๑๕ พระคาถานั้นพึงทราบวินิจฉัย คาถาที่ ๑ ก่อน. |
| บทว่า มงฺคลา นี้ เป็นชื่อของทิฏฐมงคลเป็นต้นที่ท่านกล่าวไว้ใน |
| มงคลสูตร. บทว่า สมูหตา ได้แก่ ถอนด้วยดีคือตัดขาดด้วยศัสตราคือปัญญา. |
| บทว่า อุปฺปาทา ได้แก่ การยึดถือความเกิดอันเป็นไปอย่างนี้ว่า อุกกาบาต |
| ดาวหางเป็นต้นย่อมมีผลอย่างนี้ ๆ. บทว่า สุปินา ได้แก่การยึดถือความฝัน |
| อันเป็นไปอย่างนี้ว่า เห็นความฝันในตอนเช้าจะมีผลอย่างนี้ เห็นความฝันใน |
| ตอนเที่ยงเป็นต้นจะเป็นอย่างนี้ นอนเห็นความฝันข้างซ้ายจะเป็นอย่างนี้ นอน |
| เห็นความฝันข้างขวาเป็นต้นจะเป็นอย่างนี้ ฝันเห็นพระจันทร์จะเป็นอย่างนี้ |
| ฝันเห็นพระอาทิตย์เป็นต้นจะเป็นอย่างนี้ ดังนี้. บทว่า ลกฺขณา ได้แก่ |
| อ้างคัมภีร์บอกลักษณะไม้เท้าและลักษณะสิ่งของเป็นต้น แล้วยึดถือลักษณะอัน |
| เป็นไปว่า บัดนี้ จะได้รับผลอย่างนี้. ทั้งหมดนั้นพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้ว |
| ในพรหมชาลสูตรนั่นแล. บทว่า ส มงฺคลโทสวิปฺปหีโน ได้แก่ มงคลอัน |
| เป็นโทษที่เหลือเว้นมหามงคล ๓๘ ภิกษุถอนมงคลเป็นต้นเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ |
| ละมงคลอันเป็นโทษ อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ละมงคลอันเป็นโทษเพราะ |
| ละมงคลและโทษมีการเกิดเป็นต้น ย่อมไม่ให้ความบริสุทธิ์ด้วยมงคลเป็นต้น |
| เพราะบรรลุด้วยอริยมรรคแล้ว. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นพึงเว้นโดยชอบในโลก |
| คือ ภิกษุนั้นเป็นขีณาสพ พึงเว้นโดยชอบในโลก ไม่พัวพันด้วยโลก. |