๓๔๘    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๕๐
ความว่า  ธรรมเป็นไปในภูมิสาม  แม้ทั้งหมดชื่อว่าเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์เพราะ
เป็นวิสัยแห่งสังโยชน์สิบอย่าง   ชื่อว่าหลุดพ้นแล้ว   เพราะกำหนดรู้  และเพราะ
ละได้จากสังโยชน์เหล่านั้นด้วยมรรคภาวนาโดยประการทั้งหมด.   อนึ่ง  ในที่นี้
ท่านกล่าวถึงการละราคะและโทสะด้วยบาทต้น.  ความไม่มีการยึดถือเป็นที่อาศัย
ด้วยบาทที่สอง.    การหลุดพ้นจากอกุศลที่เหลือและวัตถุอันเป็นอกุศลด้วยบาทที่
สาม    หรือการละราคะและโทสะด้วยบาทต้น.     ด้วยบาทที่สองก็เช่นเดียวกัน
ด้วยบาทที่สามพึงทราบว่า  การหลุดพ้นจากธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์  เพราะ
ละสังโยชน์เหล่านั้นได้.
         พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่   ๕.
         บทว่า    อุปธีสุ    ได้แก่   ในขันธูปธิทั้งหลาย.  อุปธิเหล่านั้นท่าน
กล่าวว่า   อาทาน   เพราะอรรถว่า  พึงยึดถือ.   บทว่า  อนญฺเนยฺโย ได้แก่
เพราะเห็นความไม่เทียงเป็นต้นเป็นอย่างดีแล้ว    ใคร ๆ จะพึงแนะนำไม่ได้ว่า
นี้ประเสริฐ.     บทที่เหลือความของบทง่ายทั้งนั้น.     ข้อนี้ท่านอธิบายไว้ว่า
ภิกษุนำฉันทราคะในการยึดมั่นออกไปแล้วทั้งหมด   ด้วยมรรคที่สี่   เป็นผู้มี
ฉันทราคะนำออกไปแล้ว     ย่อมไม่เห็นความเป็นสาระในอุปธิทั้งหลายเหล่านั้น
คือย่อมเห็นอุปธิทั้งปวงโดยความไม่เป็นสาระ.     แต่นั้นไม่อาศัยอยู่ในนิสัยแม้
ทั้งสองอย่าง  หรือโดยความอันใคร ๆ  จะพึงแนะนำไม่ได้ว่านี้ประเสริฐ  ภิกษุ
ผู้เป็นขีณาสพพึงเว้นโดยชอบในโลก.
         พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่  ๖.
         บทว่า    อวิรุทฺโธ     ได้แก่ เป็นผู้ไม่ผิดพลาดกับด้วยสุจริตทั้งหลาย
เพราะละทุจริตสามอย่างเหล่านั้นได้แล้ว.   บทว่า    วิทิตฺตา   ธมฺมํ    ได้แก่
หน้า ๓๔๙