| ความว่า ธรรมเป็นไปในภูมิสาม แม้ทั้งหมดชื่อว่าเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์เพราะ |
| เป็นวิสัยแห่งสังโยชน์สิบอย่าง ชื่อว่าหลุดพ้นแล้ว เพราะกำหนดรู้ และเพราะ |
| ละได้จากสังโยชน์เหล่านั้นด้วยมรรคภาวนาโดยประการทั้งหมด. อนึ่ง ในที่นี้ |
| ท่านกล่าวถึงการละราคะและโทสะด้วยบาทต้น. ความไม่มีการยึดถือเป็นที่อาศัย |
| ด้วยบาทที่สอง. การหลุดพ้นจากอกุศลที่เหลือและวัตถุอันเป็นอกุศลด้วยบาทที่ |
| สาม หรือการละราคะและโทสะด้วยบาทต้น. ด้วยบาทที่สองก็เช่นเดียวกัน |
| ด้วยบาทที่สามพึงทราบว่า การหลุดพ้นจากธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ เพราะ |
| ละสังโยชน์เหล่านั้นได้. |
| พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๕. |
| บทว่า อุปธีสุ ได้แก่ ในขันธูปธิทั้งหลาย. อุปธิเหล่านั้นท่าน |
| กล่าวว่า อาทาน เพราะอรรถว่า พึงยึดถือ. บทว่า อนญฺเนยฺโย ได้แก่ |
| เพราะเห็นความไม่เทียงเป็นต้นเป็นอย่างดีแล้ว ใคร ๆ จะพึงแนะนำไม่ได้ว่า |
| นี้ประเสริฐ. บทที่เหลือความของบทง่ายทั้งนั้น. ข้อนี้ท่านอธิบายไว้ว่า |
| ภิกษุนำฉันทราคะในการยึดมั่นออกไปแล้วทั้งหมด ด้วยมรรคที่สี่ เป็นผู้มี |
| ฉันทราคะนำออกไปแล้ว ย่อมไม่เห็นความเป็นสาระในอุปธิทั้งหลายเหล่านั้น |
| คือย่อมเห็นอุปธิทั้งปวงโดยความไม่เป็นสาระ. แต่นั้นไม่อาศัยอยู่ในนิสัยแม้ |
| ทั้งสองอย่าง หรือโดยความอันใคร ๆ จะพึงแนะนำไม่ได้ว่านี้ประเสริฐ ภิกษุ |
| ผู้เป็นขีณาสพพึงเว้นโดยชอบในโลก. |
| พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๖. |
| บทว่า อวิรุทฺโธ ได้แก่ เป็นผู้ไม่ผิดพลาดกับด้วยสุจริตทั้งหลาย |
| เพราะละทุจริตสามอย่างเหล่านั้นได้แล้ว. บทว่า วิทิตฺตา ธมฺมํ ได้แก่ |