| พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๐. |
| บทว่า โส นิราโส อนาสสาโน ความว่า ภิกษุใดไม่มีอนุสัย |
| ถอนอกุศลมูลได้แล้วด้วยอริยมรรค ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีความหวัง ไม่มีตัณหา |
| แต่นั้นไม่หวังธรรมมีรูปธรรมเป็นต้นไร ๆ เพราะไม่มีความหวัง. ด้วยเหตุนั้น |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นิราโส อนาสสาโน ไม่มีความหวัง ไม่มี |
| ตัณหา ดังนี้. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล. |
| พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๑. |
| บทว่า อาสวขีโณ ได้แก่มีอาสวะสี่สิ้นแล้ว. บทว่า ปหีนมาโน |
| ได้แก่ ละมานะเก้าอย่างได้แล้ว. บทว่า ราคปถํ ได้แก่ ธรรมชาติเป็นไป |
| ในภูมิสามอันเป็นวิสัยแห่งราคะ. บทว่า อุปาติวตฺโต ได้แก่ ก้าวล่วงด้วย |
| การกำหนดรู้และการละ. บทว่า ทนฺโต ได้แก่ ละการเสพผิดในทวารทั้งปวง |
| แล้วถึงภูมิแห่งการฝึกฝนตน ด้วยการฝึกอย่างประเสริฐ. บทว่า ปรินิพฺพุโต |
| เป็นผู้สงบเพราะสงบด้วยไฟคือกิเลส. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล |
| พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๒. |
| บทว่า สทฺโธ ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว |
| สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งหมด เพราะเว้นจากปัจจัยอย่างอื่นในพุทธคุณเป็นต้น |
| ไม่ประกอบด้วยการปฏิบัติด้วยศรัทธาต่อผู้อื่น. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า น ขฺวาหํ |
| ภนฺเต เอตฺถ ภควโต สทฺธาย คจฺฉามิ ข้าแต่ท่านผู้เจริญข้าพเจ้ามิได้ |
| ถึงด้วยศรัทธาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าในเพราะเหตุนี้. บทว่า สุตวา คือประกอบ |
| แล้ว ด้วยการฟังอันมีประโยชน์อย่างยิ่งเพราะกิจคือการฟังอย่างสามัญสุดสิ้นลง |