๓๕๐    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๕๒
         พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่    ๑๐.
         บทว่า  โส  นิราโส  อนาสสาโน  ความว่า    ภิกษุใดไม่มีอนุสัย
ถอนอกุศลมูลได้แล้วด้วยอริยมรรค  ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีความหวัง  ไม่มีตัณหา
แต่นั้นไม่หวังธรรมมีรูปธรรมเป็นต้นไร ๆ เพราะไม่มีความหวัง.  ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  นิราโส  อนาสสาโน    ไม่มีความหวัง  ไม่มี
ตัณหา  ดังนี้.  บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.
         พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่   ๑๑.
         บทว่า  อาสวขีโณ  ได้แก่มีอาสวะสี่สิ้นแล้ว.  บทว่า  ปหีนมาโน
ได้แก่  ละมานะเก้าอย่างได้แล้ว.   บทว่า  ราคปถํ  ได้แก่  ธรรมชาติเป็นไป
ในภูมิสามอันเป็นวิสัยแห่งราคะ.   บทว่า  อุปาติวตฺโต  ได้แก่  ก้าวล่วงด้วย
การกำหนดรู้และการละ.  บทว่า  ทนฺโต  ได้แก่ ละการเสพผิดในทวารทั้งปวง
แล้วถึงภูมิแห่งการฝึกฝนตน  ด้วยการฝึกอย่างประเสริฐ.  บทว่า ปรินิพฺพุโต
เป็นผู้สงบเพราะสงบด้วยไฟคือกิเลส.   บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล
         พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่    ๑๒.
         บทว่า  สทฺโธ   ได้แก่  เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว
สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งหมด   เพราะเว้นจากปัจจัยอย่างอื่นในพุทธคุณเป็นต้น
ไม่ประกอบด้วยการปฏิบัติด้วยศรัทธาต่อผู้อื่น.  ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า   น  ขฺวาหํ
ภนฺเต   เอตฺถ   ภควโต   สทฺธาย  คจฺฉามิ   ข้าแต่ท่านผู้เจริญข้าพเจ้ามิได้
ถึงด้วยศรัทธาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าในเพราะเหตุนี้.  บทว่า สุตวา คือประกอบ
แล้ว ด้วยการฟังอันมีประโยชน์อย่างยิ่งเพราะกิจคือการฟังอย่างสามัญสุดสิ้นลง
หน้า ๓๕๑