| แล้ว. บทว่า นิยามทสฺสี ความว่า ในเมื่อสัตวโลกลุ่มหลงอยู่ในสงสาร |
| กันดาร เป็นผู้เห็นทางอันเป็นความชื่นชอบของผู้ไปสู่อมตนคร. ท่านอธิบาย |
| ว่า ได้เห็นทางแล้ว. บทว่า วคฺคคเตสุ น วคฺคสารี ความว่า สัตว์ |
| ทั้งหลายผู้แล่นไปด้วยทิฏฐิ ๖๒. ความสวนทางกันและกัน ชื่อว่า วคฺคคตา |
| ความไม่แล่นไปด้วยอำนาจทิฏฐิในสัตว์ทั้งหลายผู้ไปแล้วด้วยทิฏฐิ อัน ได้แก่ |
| วคฺค อย่างนี้ เพราะไม่แล่นไปด้วยอำนาจทิฏฐิว่า นี้สูญ นี้จักเป็นอยู่อย่างนั้น |
| ดังนี้. บทว่า ปฏิฆํ ได้แก่ ความกระทบกระทั่ง . ท่านอธิบายว่า ความ |
| กระทบกระทั่งทางจิต. บทว่า ปฏิฆํ นี้เป็นวิเสสนะของโทสะ. บทว่า วิเนยฺย |
| ได้แก่ นำออกไปแล้ว. บทที่เหลือมีนัยดังที่ได้กล่าวได้แล้วนั้นแล. |
| พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๓. |
| บทว่า สํสุทธฺชิโน ได้แก่ เป็นผู้ชนะกิเลสด้วยอรหัตมรรคอัน |
| หมดจดแล้ว. บทว่า วิวฏจฺฉโท คือเป็นผู้มีกิเลสดังหลังคาคือราคะโทสะและ |
| โมหะเปิดแล้ว. บทว่า ธมฺเมสุ วสี ได้แก่ เป็นผู้ถึงความชำนาญในธรรม |
| คืออริยสัจสี่. ธรรมเหล่านั้นอันใคร ๆ ไม่สามารถทำผู้ที่รู้อย่างนั้นให้เป็นผู้ |
| ไม่รู้ได้. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงเรียกพระขีณาสพว่าเป็นผู้ชำนาญในธรรมทั้งหลาย. |
| บทว่า ปารคู ได้แก่ ถึงนิพพานซึ่งท่านเรียกว่าปาระ (ฝั่ง). อธิบายว่า |
| บรรลุด้วยสอุปาทิเสสนิพพาน. บทว่า อเนโช คือเป็นผู้ไม่หวั่นไหว เพราะ |
| ปราศจากตัณหาแล้ว. บทว่า สงฺขารนิโรธาณกุสโล ต่อนิพพานท่าน |
| เรียกว่า ดับสังขาร ความรู้ในนิพพานนั้นคืออริยมรรคปัญญา เป็นผู้ฉลาดใน |
| อริยมรรคปัญญานั้น. ท่านอธิบายว่า ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดเพราะเจริญแล้วสี่ครั้ง. |