๓๕๑    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๕๓
แล้ว.   บทว่า    นิยามทสฺสี     ความว่า    ในเมื่อสัตวโลกลุ่มหลงอยู่ในสงสาร
กันดาร   เป็นผู้เห็นทางอันเป็นความชื่นชอบของผู้ไปสู่อมตนคร.   ท่านอธิบาย
ว่า  ได้เห็นทางแล้ว.    บทว่า    วคฺคคเตสุ   น   วคฺคสารี    ความว่า  สัตว์
ทั้งหลายผู้แล่นไปด้วยทิฏฐิ   ๖๒.  ความสวนทางกันและกัน  ชื่อว่า   วคฺคคตา
ความไม่แล่นไปด้วยอำนาจทิฏฐิในสัตว์ทั้งหลายผู้ไปแล้วด้วยทิฏฐิ   อัน ได้แก่
วคฺค  อย่างนี้   เพราะไม่แล่นไปด้วยอำนาจทิฏฐิว่า  นี้สูญ  นี้จักเป็นอยู่อย่างนั้น
ดังนี้.  บทว่า    ปฏิฆํ  ได้แก่  ความกระทบกระทั่ง . ท่านอธิบายว่า  ความ
กระทบกระทั่งทางจิต.  บทว่า ปฏิฆํ  นี้เป็นวิเสสนะของโทสะ.  บทว่า  วิเนยฺย
ได้แก่  นำออกไปแล้ว.   บทที่เหลือมีนัยดังที่ได้กล่าวได้แล้วนั้นแล.
         พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่   ๑๓.
         บทว่า    สํสุทธฺชิโน    ได้แก่   เป็นผู้ชนะกิเลสด้วยอรหัตมรรคอัน
หมดจดแล้ว.  บทว่า  วิวฏจฺฉโท  คือเป็นผู้มีกิเลสดังหลังคาคือราคะโทสะและ
โมหะเปิดแล้ว.   บทว่า  ธมฺเมสุ   วสี   ได้แก่ เป็นผู้ถึงความชำนาญในธรรม
คืออริยสัจสี่.     ธรรมเหล่านั้นอันใคร ๆ  ไม่สามารถทำผู้ที่รู้อย่างนั้นให้เป็นผู้
ไม่รู้ได้. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงเรียกพระขีณาสพว่าเป็นผู้ชำนาญในธรรมทั้งหลาย.
บทว่า    ปารคู    ได้แก่   ถึงนิพพานซึ่งท่านเรียกว่าปาระ   (ฝั่ง).  อธิบายว่า
บรรลุด้วยสอุปาทิเสสนิพพาน.  บทว่า  อเนโช   คือเป็นผู้ไม่หวั่นไหว   เพราะ
ปราศจากตัณหาแล้ว.   บทว่า    สงฺขารนิโรธาณกุสโล    ต่อนิพพานท่าน
เรียกว่า ดับสังขาร ความรู้ในนิพพานนั้นคืออริยมรรคปัญญา   เป็นผู้ฉลาดใน
อริยมรรคปัญญานั้น.   ท่านอธิบายว่า  ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดเพราะเจริญแล้วสี่ครั้ง.
หน้า ๓๕๒