๓๕๒    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๕๔
         พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่   ๑๔.
         บทว่า  อตีเตสุ  ได้แก่  ในเบญจขันธ์ที่ถึงความเป็นไปแล้วล่วงไป.
บทว่า  อนาคเตสุ  ได้แก่ ในเบญจขันธ์ที่ยังไม่ถึงความเป็นไปนั่นเอง. บทว่า
กปฺปาตีโต    คือล่วงกำหนดว่าเราว่าของเรา   หรือล่วงความกำหนดด้วยตัณหา
และทิฏฐิ  แม้ทั้งหมด.  บทว่า   อติจฺจสุทธิปญฺโ  คือมีปัญญาบริสุทธิ์ก้าว
ล่วงแล้ว.  ก้าวล่วงอะไร  ก้าวล่วงกาลทั้ง   ๓.
         จริงอยู่  พระอรหันต์ก้าวล่วงกาลที่เป็นอดีตคืออวิชชาและสังขาร  กาล
ที่เป็นอนาคตคือชาติชรามรณะ     และกาลที่เป็นปัจจุบันอันเป็นที่สุดแห่งภพมี
วิญญาณเป็นต้นแม้ทั้งหมด  ล่วงพ้นความสงสัย  เป็นผู้มีปัญญาถึงความบริสุทธิ์
อย่างยิ่ง  ด้วยเหตุนั้น   ท่านจึงเรียกว่า  อติจฺจสุทฺธิปญฺโ   ผู้มีปัญญาบริสุทธิ์
ล่วงพ้นกาลทั้ง ๓. บทว่า สพฺพายตเนหิ  คือ  จากอายตนะ   ๑๒. บทว่า  วิปฺป-
มุตฺโต  ความว่า จริงอยู่พระอรหันต์เป็นผู้ล่วงกำหนดอย่างนี้   ไม่เข้าถึงอายตนะ
ไร ๆ   ต่อไป  เพราะล่วงกำหนดแล้วแล.   เพราะมีปัญญาบริสุทธิ์ก้าวล่วงแล้ว.
ด้วยเหตุนั้น   ท่านจึงกล่าวว่า  สพฺพายตเนหิ  วิปฺปมุตฺโต  หลุดพ้นแล้วจาก
อายตนะทั้งปวง.
         พึงทราบวินิจฉัยคาถาที่   ๑๕.
         บทว่า   อญฺาย  ปทํ  ได้แก่    รู้บทหนึ่ง ๆ ในบทสี่แห่งสัจจะด้วย
ปัญญากำหนดสัจจะอันเป็นส่วนเบื้องต้น.  บทว่า  สเมจฺจ  ธมฺมํ  คือต่อจากนั้น
ตรัสรู้ธรรมคืออริยสัจสี่ด้วยอริยมรรคสี่.  บทว่า  วิวฏํ  ทิสฺวาน  ปหานมา-
สวานํ  ความว่า  ทีนั้นเห็นความสิ้นอาสวะเป็นวิวฏะ   (นิพพาน)  คือเปิดเผย
ให้ปรากฏด้วยปัจจเวกขณญาณ.  บทว่า  สพฺพูปธีนํ  ปริกฺขยา ความว่า ภิกษุ
หน้า ๓๕๓