| พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๔. |
| บทว่า อตีเตสุ ได้แก่ ในเบญจขันธ์ที่ถึงความเป็นไปแล้วล่วงไป. |
| บทว่า อนาคเตสุ ได้แก่ ในเบญจขันธ์ที่ยังไม่ถึงความเป็นไปนั่นเอง. บทว่า |
| กปฺปาตีโต คือล่วงกำหนดว่าเราว่าของเรา หรือล่วงความกำหนดด้วยตัณหา |
| และทิฏฐิ แม้ทั้งหมด. บทว่า อติจฺจสุทธิปญฺโ คือมีปัญญาบริสุทธิ์ก้าว |
| ล่วงแล้ว. ก้าวล่วงอะไร ก้าวล่วงกาลทั้ง ๓. |
| จริงอยู่ พระอรหันต์ก้าวล่วงกาลที่เป็นอดีตคืออวิชชาและสังขาร กาล |
| ที่เป็นอนาคตคือชาติชรามรณะ และกาลที่เป็นปัจจุบันอันเป็นที่สุดแห่งภพมี |
| วิญญาณเป็นต้นแม้ทั้งหมด ล่วงพ้นความสงสัย เป็นผู้มีปัญญาถึงความบริสุทธิ์ |
| อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า อติจฺจสุทฺธิปญฺโ ผู้มีปัญญาบริสุทธิ์ |
| ล่วงพ้นกาลทั้ง ๓. บทว่า สพฺพายตเนหิ คือ จากอายตนะ ๑๒. บทว่า วิปฺป- |
| มุตฺโต ความว่า จริงอยู่พระอรหันต์เป็นผู้ล่วงกำหนดอย่างนี้ ไม่เข้าถึงอายตนะ |
| ไร ๆ ต่อไป เพราะล่วงกำหนดแล้วแล. เพราะมีปัญญาบริสุทธิ์ก้าวล่วงแล้ว. |
| ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สพฺพายตเนหิ วิปฺปมุตฺโต หลุดพ้นแล้วจาก |
| อายตนะทั้งปวง. |
| พึงทราบวินิจฉัยคาถาที่ ๑๕. |
| บทว่า อญฺาย ปทํ ได้แก่ รู้บทหนึ่ง ๆ ในบทสี่แห่งสัจจะด้วย |
| ปัญญากำหนดสัจจะอันเป็นส่วนเบื้องต้น. บทว่า สเมจฺจ ธมฺมํ คือต่อจากนั้น |
| ตรัสรู้ธรรมคืออริยสัจสี่ด้วยอริยมรรคสี่. บทว่า วิวฏํ ทิสฺวาน ปหานมา- |
| สวานํ ความว่า ทีนั้นเห็นความสิ้นอาสวะเป็นวิวฏะ (นิพพาน) คือเปิดเผย |
| ให้ปรากฏด้วยปัจจเวกขณญาณ. บทว่า สพฺพูปธีนํ ปริกฺขยา ความว่า ภิกษุ |