| นั้นไม่ต้องอยู่ในภพไหน ๆ เพราะความหมดสิ้นไปแห่งอุปธิทั้งหลายอันมีประเภท |
| แห่งขันธ์ กามคุณ กิเลสและอภิสังขารทั้งปวง พึงเว้นคือพึงอยู่โดยชอบในโลก |
| ไม่ติดแน่นพึงไปสู่โลก. จบเทศนา ด้วยประการฉะนี้. |
| แต่นั้นพระพุทธนิมิตนั้น ชื่นชมเทศนากล่าวคาถานี้ว่า อทฺธา หิ |
| ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนี้เป็นอย่างนั้นแน่ทีเดียว. |
| ในบทเหล่านั้น บทว่า โย โส เอวํวิหารี ความว่า พระพุทธนิมิต |
| เมื่อจะชี้แจงกะภิกษุให้เห็นชัดยิ่งขึ้น จึงกล่าวด้วยคาถานั้น ๆ ว่าภิกษุใด ถอน |
| มงคลเป็นต้นมีปกติอยู่ด้วยการละโทษของมงคลทั้งปวง ภิกษุนั้นนำความ |
| กำหนัดในกามทั้งหลายทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ออกเสีย ก้าวล่วง |
| กามมีปกติอยู่ด้วยการตรัสรู้ธรรม. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น. แต่โยชนา |
| แก้ไว้ว่า พระพุทธนิมิตกล่าวคำเป็นอาทิว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อที่ |
| พระองค์ตรัสคำเป็นอาทิว่า ถอนมงคลทั้งหลายเสียในที่สุดแห่งคาถานั้นได้ตรัส |
| ว่า ภิกษุนั้นพึงเว้นโดยชอบในโลก นี้เป็นความจริงแน่แท้ทีเดียว. เพราะ |
| เหตุไร. เพราะภิกษุใดมีปกติอยู่อย่างนี้ ภิกษุนั้นชื่อว่าฝึกฝนตนด้วยการฝึก |
| อย่างสูง เป็นผู้ก้าวล่วงสังโยชน์ ๑๐ ทั้งหมด และโยคะ ๔ ฉะนั้น ภิกษุนั้น |
| พึงเว้นโดยชอบในโลก ข้าพระองค์ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย ดังนี้. ครั้น |
| พระพุทธนิมิตกล่าวคาถาชื่นชมเทศนาแล้ว เทศนาก็จบลงด้วยอดแห่งพระ- |
| อรหัต ด้วยประการฉะนี้. |
| เมื่อจบพระสูตร เทวดาแสนโกฏิได้บรรลุผลอันเลิศ. ส่วนผู้ที่บรรลุ |
| พระโสดาปัตติผล สกทาคามิผลและอนาคามิผลนับไม่ถ้วน. |
| จบอรรถกถาสัมมาปริพพาชนิยสูตรที่ ๑๓ |