๓๕๓    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๕๕
นั้นไม่ต้องอยู่ในภพไหน ๆ เพราะความหมดสิ้นไปแห่งอุปธิทั้งหลายอันมีประเภท
แห่งขันธ์  กามคุณ  กิเลสและอภิสังขารทั้งปวง  พึงเว้นคือพึงอยู่โดยชอบในโลก
ไม่ติดแน่นพึงไปสู่โลก.  จบเทศนา  ด้วยประการฉะนี้.
         แต่นั้นพระพุทธนิมิตนั้น     ชื่นชมเทศนากล่าวคาถานี้ว่า   อทฺธา  หิ
ภควา   ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า   ข้อนี้เป็นอย่างนั้นแน่ทีเดียว.
         ในบทเหล่านั้น  บทว่า โย โส เอวํวิหารี ความว่า พระพุทธนิมิต
เมื่อจะชี้แจงกะภิกษุให้เห็นชัดยิ่งขึ้น  จึงกล่าวด้วยคาถานั้น ๆ ว่าภิกษุใด  ถอน
มงคลเป็นต้นมีปกติอยู่ด้วยการละโทษของมงคลทั้งปวง     ภิกษุนั้นนำความ
กำหนัดในกามทั้งหลายทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ออกเสีย    ก้าวล่วง
กามมีปกติอยู่ด้วยการตรัสรู้ธรรม.    บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.   แต่โยชนา
แก้ไว้ว่า  พระพุทธนิมิตกล่าวคำเป็นอาทิว่า    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า   ข้อที่
พระองค์ตรัสคำเป็นอาทิว่า   ถอนมงคลทั้งหลายเสียในที่สุดแห่งคาถานั้นได้ตรัส
ว่า  ภิกษุนั้นพึงเว้นโดยชอบในโลก    นี้เป็นความจริงแน่แท้ทีเดียว.    เพราะ
เหตุไร.   เพราะภิกษุใดมีปกติอยู่อย่างนี้     ภิกษุนั้นชื่อว่าฝึกฝนตนด้วยการฝึก
อย่างสูง  เป็นผู้ก้าวล่วงสังโยชน์  ๑๐  ทั้งหมด   และโยคะ  ๔  ฉะนั้น    ภิกษุนั้น
พึงเว้นโดยชอบในโลก   ข้าพระองค์ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย   ดังนี้.   ครั้น
พระพุทธนิมิตกล่าวคาถาชื่นชมเทศนาแล้ว      เทศนาก็จบลงด้วยอดแห่งพระ-
อรหัต  ด้วยประการฉะนี้.
         เมื่อจบพระสูตร   เทวดาแสนโกฏิได้บรรลุผลอันเลิศ.   ส่วนผู้ที่บรรลุ
พระโสดาปัตติผล   สกทาคามิผลและอนาคามิผลนับไม่ถ้วน.
                      จบอรรถกถาสัมมาปริพพาชนิยสูตรที่  ๑๓
หน้า ๓๕๔