๓๖๓    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๖๕
อุปาสกาเส  ดังนี้.  บทที่เหลือ  โดยความชัดเจนแล้ว  แต่โยชนาแก้ว่า  บรรดา
สาวกสองจำพวก  คือ  สาวกผู้ออกจากเรือนมิได้ครองเรือน   คือ  บวชก็ดี  สาวก
ผู้ครองเรือนเป็นอุบาสกก็ดี  สาวกกระทำอย่างไรจึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จ.
         บัดนี้    ธรรมิกอุบาสกเมื่อจะแสดงถึงความสามารถของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าที่ถูกถามปัญหาอย่างนี้แล้วจะทรงแก้ได้    จึงกล่าวสองคาถาว่า   ตุวํ  หิ
เป็นต้น.
         บรรดาบทเหล่านั้น    บทว่า  คตึ   ได้แก่  คติที่เป็นอัธยาศัย.   บทว่า
ปรายนํ  ได้แก่  ความสำเร็จ.   อีกอย่างหนึ่ง  บทว่า  คตึ  ได้แก่  ประเภท
ของคติ  ๕  มีนรกเป็นต้น.   บทว่า   ปรายนํ  ได้แก่  การออกไปจากคติ   การ
พ้นจากคติ  คือปรินิพพาน.  บทว่า  น จตฺถิ ตุลฺโย ได้แก่  คนเช่นกับพระองค์
ไม่มี. บทว่า สพฺพํ ตุวํ  ฺาณมเวจฺจ  ธมฺมํ  ปกาเสสิ สตฺเต อนุกมฺปมาโน
ความว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  พระองค์ทรงแทงตลอดไญยธรรมไม่มีเหลือ
ทรงอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย    ทรงประกาศญาณและธรรมทั้งปวง   คือทรงทำ
ให้แจ้ง   ทรงชี้แจงสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเท่านั้น   ท่านอธิบายว่า  การปกปิด
การสอนของอาจารย์ย่อมไม่มีแก่ท่าน.  บทว่า   วิโรจสิ   วิมโล   ความว่า
พระองค์ปราศจากมลทิน    ไพโรจน์เพราะไม่มีมลทินมีราคะเป็นต้น     ดุจ
พระจันทร์เว้นจากหมอกและธุลีเป็นต้น   บทที่เหลือในคาถานี้มีความง่ายทั้งนั้น.
         บัดนี้   ธรรมิกอุบาสกเมื่อจะประกาศชื่อเทพบุตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงธรรมเหล่านั้นในครั้งนั้น    และเมื่อจะสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงกล่าวสองคาถาว่า   อคจฺฉิ  เต   สนฺติเก   ได้ไปในสำนักของพระองค์ดังนี้
เป็นต้น.
หน้า ๓๖๔