๓๖๔    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๓๖๖
         ในบทเหล่านั้นบทว่า นาคราชา เอราวโณ  นาม  ความว่า ได้ยิน
ว่าเทพบุตรนี้ชื่อว่า  เอราวัณ  มีรูปเป็นเทพบนสวรรค์  สถิตอยู่ในวิมานทิพย์.
เทพบุตรนั้นในเวลาที่ท้าวสักกะเสด็จชมพระอุทยาน  ได้เนรมิตกาย ๑๕๐ โยชน์
เนรมิตกระพอง ๓๓ กระพอง   เป็นช้างเอราวัณ.  บนกระพองหนึ่ง ๆ มีงากระ
พองละ  ๒  งา บนงาหนึ่ง ๆ มีสระโบกขรณีงาละ ๗ สระ. บนสระโบกขรณีสระ-
หนึ่ง ๆ มีสระบัวละ  ๗  สระ.      สระบัวสระหนึ่ง ๆ มีดอกบัวสระละ ๗ ดอก.
บนดอกบัวดอกหนึ่ง ๆ มีดอกละ ๗ กลีบ.  บนกลีบหนึ่ง ๆ มีนางอัปสรกลีบละ
๗ นาง  ปรากฏชื่อว่าปทุมอัปสรทั้งนั้นฟ้อนรำอยู่.  นางฟ้อนของท้าวสักกะมีมา
แล้วในวิมานวัตถุว่า   นางอัปสรได้ศึกษาเป็นอย่างดีหมุนตัวบนดอกปทุม.   ใน
ท่ามกลางกระพอง ๓๓ กระพองเหล่านั้น    มีกระพองชื่อสุทัสสนะประมาณ  ๓๐
โยชน์.    ที่กระพองสุทัสสนะนั้นมีบัลลังก์แก้วมณีประมาณโยชน์หนึ่งลาดไปบน
มณฑปดอกบัวสูง ๓ โยชน์   อันเป็นสถานที่ที่ท้าวสักกะจอมเทพแวดล้อมด้วย
หมู่นางอัปสรเสวยทิพยสมบัติ.     ครั้นเมื่อท้าวสักกะจอมเทพเสด็จกลับจากการ
ชมอุทยาน   ช้างเอราวัณก็กลายรูปนั้นเป็นเทพบุตรอย่างเดิม.    ธรรมิกอุบาสก
กล่าวว่า พญาช้างชื่อเอราวัณได้ยินว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ทรงชนะบาปกรรม
แล้วดังนี้จึงได้ไปในสำนักของพระองค์    หมายถึงเทพบุตรนั้น.  บทว่า  โสปิ
ตยา มนฺตยิตฺวา  ได้แก่เทพบุตรนั้นก็ปรึกษากับพระองค์  อธิบายว่าถามปัญหา.
บทว่า  อชฺฌคมา  คือ  ได้บรรลุแล้ว.  บทว่า  สาธูติ  สุตฺวาน  ปตีตรูโป
ความว่า  เทพบุตรสดับปัญหานั้นแล้วซ้องสาธุการชื่นชมยินดีกลับไป.
         ในบทว่า  ราชาปิ  ตํ  เวสฺสวโณ   กุเวโร    นี้มีอธิบายว่า  ยักษ์
นั้นชื่อว่าเป็นพระราชาเพราะอรรถว่าเป็นที่ยินดี ชื่อว่า  เวสวัณ  เพราะครอง
หน้า ๓๖๕