| ในบทเหล่านั้นบทว่า นาคราชา เอราวโณ นาม ความว่า ได้ยิน |
| ว่าเทพบุตรนี้ชื่อว่า เอราวัณ มีรูปเป็นเทพบนสวรรค์ สถิตอยู่ในวิมานทิพย์. |
| เทพบุตรนั้นในเวลาที่ท้าวสักกะเสด็จชมพระอุทยาน ได้เนรมิตกาย ๑๕๐ โยชน์ |
| เนรมิตกระพอง ๓๓ กระพอง เป็นช้างเอราวัณ. บนกระพองหนึ่ง ๆ มีงากระ |
| พองละ ๒ งา บนงาหนึ่ง ๆ มีสระโบกขรณีงาละ ๗ สระ. บนสระโบกขรณีสระ- |
| หนึ่ง ๆ มีสระบัวละ ๗ สระ. สระบัวสระหนึ่ง ๆ มีดอกบัวสระละ ๗ ดอก. |
| บนดอกบัวดอกหนึ่ง ๆ มีดอกละ ๗ กลีบ. บนกลีบหนึ่ง ๆ มีนางอัปสรกลีบละ |
| ๗ นาง ปรากฏชื่อว่าปทุมอัปสรทั้งนั้นฟ้อนรำอยู่. นางฟ้อนของท้าวสักกะมีมา |
| แล้วในวิมานวัตถุว่า นางอัปสรได้ศึกษาเป็นอย่างดีหมุนตัวบนดอกปทุม. ใน |
| ท่ามกลางกระพอง ๓๓ กระพองเหล่านั้น มีกระพองชื่อสุทัสสนะประมาณ ๓๐ |
| โยชน์. ที่กระพองสุทัสสนะนั้นมีบัลลังก์แก้วมณีประมาณโยชน์หนึ่งลาดไปบน |
| มณฑปดอกบัวสูง ๓ โยชน์ อันเป็นสถานที่ที่ท้าวสักกะจอมเทพแวดล้อมด้วย |
| หมู่นางอัปสรเสวยทิพยสมบัติ. ครั้นเมื่อท้าวสักกะจอมเทพเสด็จกลับจากการ |
| ชมอุทยาน ช้างเอราวัณก็กลายรูปนั้นเป็นเทพบุตรอย่างเดิม. ธรรมิกอุบาสก |
| กล่าวว่า พญาช้างชื่อเอราวัณได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ทรงชนะบาปกรรม |
| แล้วดังนี้จึงได้ไปในสำนักของพระองค์ หมายถึงเทพบุตรนั้น. บทว่า โสปิ |
| ตยา มนฺตยิตฺวา ได้แก่เทพบุตรนั้นก็ปรึกษากับพระองค์ อธิบายว่าถามปัญหา. |
| บทว่า อชฺฌคมา คือ ได้บรรลุแล้ว. บทว่า สาธูติ สุตฺวาน ปตีตรูโป |
| ความว่า เทพบุตรสดับปัญหานั้นแล้วซ้องสาธุการชื่นชมยินดีกลับไป. |
| ในบทว่า ราชาปิ ตํ เวสฺสวโณ กุเวโร นี้มีอธิบายว่า ยักษ์ |
| นั้นชื่อว่าเป็นพระราชาเพราะอรรถว่าเป็นที่ยินดี ชื่อว่า เวสวัณ เพราะครอง |