| สู่พระไตรลักษณ์. บทว่า น มโน พหิทฺธา นิจฺฉารเย ไม่พึงส่งใจไปใน |
| ภายนอก ความว่า ไม่พึงนำจิตไปในรูปเป็นต้นในภายนอก ด้วยอำนาจกิเลส |
| มีราคะเป็นต้น. บทว่า สงฺคหิตตฺตภาโว ได้แก่มีจิตยึดมั่นไว้ด้วยดี. |
| บทว่า เอวํ วิหรนฺโต จ สเจปิ โส ฯเปฯ ปรูปวาทํ ความว่า |
| หากภิกษุนั้นอยู่อย่างนี้พึงเจรจากับสาวกอื่น หรือกับภิกษุไร ๆ ภิกษุนั้นพึง |
| กล่าวธรรมอันประณีต ไม่พึงกล่าวคำส่อเสียด ทั้งไม่พึงกล่าวคำติเตียนผู้อื่น. |
| ท่านอธิบายไว้อย่างไร. ท่านอธิบายว่า พระโยคาวจรนั้นหากพึงเจรจากับสาวก |
| ผู้เข้าไปหาเพื่อประสงค์จะฟังอะไร ๆ ก็ดี กับคฤหัสถ์ผู้เป็นอัญญเดียรดีย์ไร ๆ |
| ก็ดี กับภิกษุผู้บวชแล้วในศาสนานี้ก็ดี. พึงกล่าวธรรมอันประณีต ไม่ทำให้เขา |
| เดือดร้อน ประกอบด้วยมรรคผลเป็นต้น หรือกถาวัตถุ ๑๐ ไม่พึงกล่าวคำส่อ |
| เสียดอื่น ๆ หรือกล่าวคำติเตียนผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อย. |
| บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงโทษในการกล่าวคำติเตียน |
| ผู้อื่นนั้น จึงตรัสว่า วาทญฺหิ เอเก บุคคลบางพวกย่อมประถ้อยคำกัน ดังนี้. |
| บทนั้น มีอธิบายดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โมฆบุรุษบางพวก |
| ในโลกนี้ย่อมประ คือ โต้วาทะอันเป็นถ้อยคำทำให้เกิดวิวาทกันนานาประการ |
| ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นคำติเตียนผู้อื่น ต้องการจะต่อสู้กัน ดุจประจัญหน้ากับนักรบ |
| เราไม่สรรเสริญบุคคลเหล่านั้นผู้มีปัญญาทราม เพราะเหตุใด เพราะความ |
| เกี่ยวข้องทั้งหลายย่อมข้องบุคคลเหล่านั้น เพราะถ้อยคำนั้น ๆ คือ ความ |
| เกี่ยวข้องด้วยการวิวาทเกิดขึ้นจากคลองแห่งคำนั้น ๆ ย่อมต้องคือติดแน่นบุคคล |
| เช่นนั้นไว้ เพราะคนเหล่านั้นเมื่อประคารมกัน ย่อมส่งจิตไปในคารมนั้น จิต |
| ย่อมไปไกลจากสมถะและวิปัสสนา ดังนี้. |