| พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงถึงความเป็นไปของผู้มีปัญญาน้อย |
| แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงถึงความเป็นไปของผู้มีปัญญามากจึงตรัสว่า ปิณฺฑํ |
| วิหารํ ฯเปฯ วรปญฺสาวโก ความว่า สาวกผู้มีปัญญาดี ฟังธรรมที่ |
| พระสุคตแสดงแล้ว พิจารณาบิณฑบาต ที่อยู่ ที่นอน ที่นั่ง น้ำ และการซักผ้า |
| สังฆาฏิแล้วพึงเสพ ดังนี้. |
| ในบทเหล่านั้น ท่านกล่าวถึงเสนาสนะอย่างเดียวด้วยสามบท คือ ด้วย |
| วิหารคือที่อยู่ ด้วยที่นอนคือเตียง ด้วยที่นั่งคือตั่ง. บทว่า อาปํ คือน้ำ. |
| บทว่า สงฺฆาฏิรชูปวาหนํ ได้แก่ ซักธุลีผ้าสังฆาฏิมีฝุ่นและมลทินเป็นต้น. |
| บทว่า สุตฺวาน ธมฺมํ สุคเตน เทสิตํ ความว่า ฟังธรรมที่พระผู้มีพระ- |
| ภาคเจ้าทรงแสดงแล้วโดยนัยมีอาทิว่า ในการสังวรอาสวะทั้งปวงเป็นต้น ภิกษุ |
| พิจารณาโดยแยบคาย เสพจีวรเพื่อกำจัดความหนาว. บทว่า สงฺขาย เสเว |
| วรปญฺาสาวโก สาวกผู้มีปัญญาดีพิจารณาแล้วพึงเสพ ความว่า สาวกผู้มี |
| ปัญญา พิจารณาปัจจัยแม้ ๔ อย่างคือ บิณฑบาตที่ท่านกล่าวว่า บิณฑะใน |
| ที่นี้ ๑ เสนาสนะที่ท่านกล่าวด้วยวิหารศัพท์เป็นต้น ๑ คิลานปัจจัย ที่ท่านแสดง |
| ด้วยอาปศัพท์ ๑ จีวร ที่ท่านกล่าว ด้วยสังฆาฎิศัพท์ ๑ คือ พิจารณาโดยนัยมี |
| อาทิว่า ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ิติยา เพียงเพื่อดำรงอยู่แห่งกายนี้ |
| เท่านั้นแล้วพึงเสพ. สาวกของพระตถาคตผู้มีปัญญาดี ทั้งที่เป็นเสกขะ. ทั้งที่ |
| เป็นปุถุชน ทั้งที่เป็นพระอรหันต์โดยตรง พึงสามารถเสพได้. จริงอยู่ ท่าน |
| กล่าวถึง อปัสเสนธรรม คือธรรมเป็นที่พึ่งพิง ๔ อย่าง คือ พิจารณาแล้ว |
| จึงเสพ ๑ พิจารณาแล้วจึงอาศัย ๑ พิจารณาแล้วจึงเว้น ๑ พิจารณาแล้วจึง |